ตอน บทที่ 943.2 ฝนกำลังจะตกแล้ว จาก กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 943.2 ฝนกำลังจะตกแล้ว คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
“เจ้าลัทธิลู่สามารถพูดถึงข้อที่สองได้แล้ว”
“ก่อนจะไปหาเจ้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกสิ่งที่ทำมาต้องสูญเปล่า เรื่องดีกลายเป็นเรื่องร้าย เพื่อระวังไว้ก่อน ข้าจึงเก็บหนึ่งฝันหนึ่งจิตธรรมมาอีก แบ่งออกเป็นเจิ้งห่วนอาจารย์ลัทธิขงจื๊อในความฝัน รวมไปถึงอวี๋เจินอี้ที่ ‘อึ้งงันเป็นไก่ไม้’ อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ถือโอกาสไปพบลู่ไถมารอบหนึ่ง พูดคุยกันอย่างถูกคอ คุยกันได้ดีมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดูท่าคงต้องฟังคำเตือนของลูกศิษย์ข้าบ้างแล้ว”
ลู่เฉินย้อนถาม “คำตอบข้อที่สาม เจ้าอยากถามผินเต้าว่ากลับไปถึงใต้หล้ามืดสลัวแล้วจะเก็บอะไรกลับมาบ้าง หรืออยากจะถามผินเต้าว่าการ ‘เก็บกลับมา’ ประเภทนี้ เป็นการไขความฝันก็ดีหรือจิตธรรมก็ช่าง จุดจบของพวกมันจะเป็นอะไร?”
“อย่างหลัง”
“ได้รับอิสระอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องเป็นหุ่นเชิดถูกชักใยอีกต่อไป ใครเป็นใคร ก็คือใคร ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้าลู่เฉินแล้ว”
อันที่จริงเกี่ยวกับลู่เฉิน ในอารามเสวียนตูเคยมีคำกล่าวอยู่อย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับถ้อยคำหยกทองที่นักพรตซุนป่าวประกาศแก่ใต้หล้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นวลีติดปากผู้คนมากถึงเพียงนั้น
ลู่เฉินผู้นี้ไม่ใช่คนจริง สิ่งที่ดวงตามองเห็นล้วนไม่ใช่ของจริง
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็โพล่งคำถามที่ชวนตะลึงพรึงเพริดว่า “อาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นั้น? คงไม่ใช่หนึ่งในห้าฝันจิตเจ็ดธรรมของเจ้าหรอกกระมัง?”
ลู่เฉินอึ้งค้างไร้คำพูด หากไม่ใช่คนที่เคยถูกประตูหนีบหัวมาก่อนจะถามคำถามแบบนี้ออกมาได้หรือ? ลู่เฉินเหมือนถูกห้าอสนีฟาดใส่หัว รีบยกสองมือประกบกันชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ พึมพำอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “เฉินผิงอัน พวกเราสองคนพอจะถือว่ามีการช่วงชิงกันระหว่างวิญญูชนได้อยู่กระมัง? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีสถานะเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อระบบสายบุ๋น แล้วยังเป็นคนฝึกวรยุทธที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากที่สุดด้วย ช่วยมีคุณธรรมในยุทธภพบ้างได้ไหม?! หา?! ต่อให้ระหว่างพวกเราสองคนจะมีบุญคุณความแค้น มีความแค้นส่วนตัวต่อกัน แต่เจ้าก็ไม่ควรใช้วิธีใส่ร้ายคนอื่นอย่างต่ำช้าเช่นนี้กระมัง?”
มารดามันเถอะ สมองเจ้าเจิ้งจวีจงผู้นั้นมีปัญหาจริงๆ หากนอกจากเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกว่า ‘ข้าใช่มรรคาจารย์เต๋าหรือไม่’ ซึ่งเขาเจิ้งจวีจงทำอะไรอาจารย์ข้าไม่ได้แล้ว แล้วยังจะให้เขากินอิ่มว่างงานรู้สึกว่า ‘ข้าใช่ลู่เฉินหรือไม่’ ขึ้นมาอีก เจ้าจะให้ข้าลู่เฉินทำอย่างไร?! พวกเจ้าเคยคิดถึงความรู้สึกของผินเต้าบ้างไหม?
เฉินผิงอันหัวเราะ
อารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน
ลู่เฉินหันหน้าไปมองทิวทัศน์นอกศาลา อยู่ดีๆ ก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ขุนเขาสายน้ำโอฬารงามตา ง่ายที่จะช่วงชิงสายตาของผู้คน หากไม่ทันระวังก็จะช่วงชิงจิตวิญญาณของคนไปด้วย ลมพัดพัดโบกให้ใจส่ายไหว เพียงแต่ว่าการฝึกตนบนภูเขาในทุกวันนี้ วิชาคาถามีมากนับพันหมื่น มีเพียงในเรื่องนี้ที่อย่าเห็นเป็นความเคยชินมากเกินไป เป็นเหตุให้คนที่ระวังมีน้อย น้อยนักที่จะเตือนผู้เยาว์ว่าผู้ฝึกตนก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาที่จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ อย่าให้ถูกบุปผานานาพรรณล่อลวงสายตา อย่าได้ถูกทัศนียภาพงดงามมากมายทั้งมหาบรรพต ลำน้ำใหญ่ พืชหญ้าดอกไม้ คนงาม ช่วงชิงเอาจิตวิญญาณไปทีละน้อย แต่ต้องเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน เอาทุกอย่างมาใช้งาน พลังอำนาจกลืนกินภูเขาสายน้ำ ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คือวิชาชั้นยอดแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าช่วยพูดแก้ตัวให้หรอกนะ แต่บอกตามตรงว่าศิษย์พี่อวี๋ของผินเต้าคนนั้น ทำอะไรไม่เคยมีใจที่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด”
“นี่ก็เรียบง่ายอย่างยิ่งแล้ว คุณสมบัติในการฝึกตนของศิษย์พี่อวี๋ดีเกินไป มรรคกถากว้างใหญ่เกินไป วิชากระบี่สูงส่งเกินไป ดังนั้นสำหรับตัวของศิษย์พี่อวี๋เองแล้วจึงไม่เคยมีความแค้นส่วนตัวใดๆ แน่นอนว่าการลงมือโดยยึดหลักความเป็นธรรมของเขาก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นการผูกปมแค้นส่วนตัว ยกตัวอย่างเช่นศิษย์น้องของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูคนนั้น หรือยกตัวอย่างเช่นคนรักของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู แน่นอนว่ายังมีศิษย์พี่ฉีของเจ้าเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าแต่ละคนต่างก็เอาบัญชีมาคิดกับอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงกันทั้งนั้น”
“ทางฝั่งของอารามเสวียนตูยังพูดได้ง่าย เพราะถึงอย่างไรศิษย์พี่รองก็ออกหน้าเอง สวมชุดขนนกพกกระบี่เซียนบุกเข้าไปในอารามเสวียนตู สังหารศิษย์น้องของนักพรตซุนกับมือตัวเอง นักพรตซุนมิอาจปล่อยวางไว้ ผินเต้าก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง”
“แต่ฝ่ายของอู๋ซวงเจี้ยง คนรักของเขาก็แค่มาตายเพราะกฎบนมหามรรคาที่ศิษย์พี่อวี๋แห่งป๋ายอวี้จิงกำหนดไว้เท่านั้น”
“ส่วนทางฝั่งของเจ้า หากจะบอกว่าเจียงจ้าวหมอและผังติ่งสังหารฉีจิ้งชุน ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธได้ ผู้คนเห็นกันเต็มสองตา พวกเขาเป็นถึงเทียนเซียนแห่งป๋ายอวี้จิงที่คุณธรรมสูงส่ง ด้วยสถานะและมรรคกถาของตัวพวกเขาเองก็ไม่กลัวว่าจะมีคนมาแก้แค้นอยู่แล้ว ส่วนเจ้าที่เป็นศิษย์น้องเล็ก อาศัยการคาดเดามาปะติดปะต่อกันเป็นความจริง จากนั้นได้เห็นภาพนั้นกับตาตัวเอง ดังนั้นจึงต้องการคำอธิบายจากพวกเขา ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดี เพียงแต่ว่าในเมื่อศิษย์พี่อวี๋ไม่ได้ลงมืออย่างแท้จริง อีกอย่างคนที่บีบให้ฉีจิ้งชุนเดินเข้าสู่ทางตันเส้นนั้นต้องเป็นผินเต้าถึงจะถูก ผินเต้าล่ะแปลกใจนักว่าทำไมเจ้าถึงได้มีใจเคียดแค้นศิษย์พี่อวี๋เช่นนี้?”
ลู่เฉินสงสัยในเรื่องนี้มากจริงๆ
ตามหลักแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่น่าจะอนุมานไปถึงบทสนทนาระหว่างตนกับศิษย์พี่อวี๋ได้
อย่างมากสุดก็คิดไปได้ถึงขั้นเดียวกับหุนเจ่อหลินเจิ้งเฉิง นั่นคือเป็นลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่ในมือครอบครองป๋ายอวี้จิงจึงสามารถข้ามทวีปมาเยือนแจกันสมบัติทวีปได้ทุกเมื่อที่บีบให้ฉีจิ้งชุนต้องเดินอ้อมไปทางอื่น
หากเป็นไปได้ล่ะก็ ลู่เฉินก็หวังว่าบัญชีเก่าก้อนนี้จะถูกโยนลงมาที่ตัวเองทั้งหมด
เพราะถึงอย่างไรหากไม่ทันระวัง หลังจากที่บรรพจารย์สามลัทธิสลายมรรคา การเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ครั้งแรกก็จะเกิดขึ้นที่ใต้หล้ามืดสลัว ที่ป๋ายอวี้จิง!
ไม่อย่างนั้นหลี่ซีเซิ่งที่เป็น ‘หนึ่งใน’ ศิษย์พี่ใหญ่ของตนก็คงไม่มีทางกำชับตนด้วย ‘ถ้อยคำรุนแรง’ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่สำนักชิงเหลียงของอุตรกุรุทวีปเช่นนั้น!
บวกกับที่ลู่เฉินเพิ่งจะได้ข้อสรุปข้อหนึ่งมา นั่นไม่ใช่การเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่สองท่านแล้ว
แต่เป็นสามท่าน!
ศิษย์พี่อวี๋โต้ว ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู!
“ล่างภูเขาว่ากันด้วยเรื่องราว บนภูเขาว่าการด้วยการถามใจ เดายากมากหรือ? ไม่ยากเลยสักนิด ผู้ฝึกตนทุกคนบนภูเขาต่างก็ใช้ชีวิตของตัวเองมาอธิบาย มาพิสูจน์หลักการเหตุผลบางอย่าง”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้าเชื่อว่าเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงที่ยังไม่ได้ ‘หนึ่งปราณแปรเป็นตรีวิสุทธิ์’ ยินดีจะแบกรับผลลัพธ์จากการพ่ายแพ้ในการช่วงชิงบนมหามรรคา นี่เกิดจากจิตแห่งมรรคาของเจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์หลี่แห่งตรอกฝูลู่หรือโจวหลี่นักพรตแห่งสำนักโองการเทพอธิบายอะไรกับใคร เพราะนี่คือเรื่องจริงที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้ว หลี่เซิ่งแห่งใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน จอมปราชญ์น้อยในอดีต หลี่เซิ่งแห่งศาลบุ๋นในภายหลัง เขายืนอยู่ที่ไหน ตรงนั้นก็คือมารยาทพิธีการ”
“เจ้าลู่เฉินเคารพนับถือศิษย์พี่ใหญ่ก็ส่วนเคารพนับถือ แต่เจ้าลู่เฉินไม่มีทางดึงดันเหมือนอย่างอวี๋โต้ว ดังนั้นการกระทำของเจ้าที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูมองดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แน่นอนว่าก็แค่ ‘มองดูเหมือน’ เท่านั้น แต่ข้าก็เชื่อว่า ในช่วงเวลาที่มาตั้งแผงดูดวง เจ้าก็ต้องเคยคิดหาวิธีการที่ ‘พบกันครึ่งทาง’ มากมาย การที่ทำไม่ได้ หนึ่งเพราะไม่กล้าวาดงูเติมขา ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนการผสานมรรคาของเจ้าลัทธิใหญ่เกินไป นอกจากนี้ก็คือต่อให้ลู่เฉินอยากจะถอยหนี อยากจะหลบทางให้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้เลย”
“เพราะอวี๋โต้วต่างหากจึงจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง เจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงที่ใจคิดแต่อยากจะกำจัดเป้าหมายทั้งหมดที่จะมาประชันบนมรรคาให้กับเจ้าลัทธิผู้เป็นศิษย์พี่ให้สิ้นซาก อวี๋โต้วไม่มีทางอนุญาตให้หลังจากที่อาจารย์ของเขาสลายมรรคาไปแล้ว ใต้หล้ามืดสลัวยังต้องเสียศิษย์พี่ไปอีกคนหนึ่ง นักพรตเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าได้ต้องมีแค่ศิษย์พี่ที่ช่วยถ่ายทอดมรรคาให้เขาเท่านั้น หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ก่อนที่เจ้าจะหวนกลับใต้หล้าไพศาล เข้ามาในถ้ำสวรรค์หลีจู อวี๋โต้วจะต้องเคยพูดข่มขู่เจ้ามาก่อน ก็เหมือนอย่างที่ข้าข่มขู่นักพรตเนิ่นก่อนหน้านี้ เป็นอย่างไร เจ้าลัทธิลู่ยังฟังความหมายนอกเหนือจากประโยคนี้ของข้าไม่ออกหรือ หรือว่ายังจะแกล้งโง่ต่อไป?”
ลู่เฉินยกสองมือขยี้ใบหน้า ผินเต้าชอบคุยกับสหายชิงถงหรือไม่ก็นักพรตเนิ่นมากกว่าแล้ว
อันที่จริงทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เพียงแค่คร้านจะพูดออกมาอย่างชัดเจนก็เท่านั้น
ในอนาคตขอแค่เฉินผิงอันไปเยือนป๋ายอวี้จิง ไม่ว่าเหตุผลจะคืออะไร อวี๋โต้วที่เป็นเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงก็ไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ เป็นแน่
เฉินผิงอันหรี่ตาลง “เข้าใจแล้ว”
ลู่เฉินทำหน้าตกตะลึง “หา?”
ทำไมถึงพูดจาเอาอย่างผินเต้าล่ะ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มิน่าเล่าเจ้าถึงได้พูดประโยคที่เกินความจำเป็นนี้”
ที่แท้ในใต้หล้ามืดสลัวก็เต็มไปด้วยภัยภายในมากมายแล้ว
ไม่อย่างนั้นตนที่ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนด้วยซ้ำก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ลู่เฉินซึ่งบอกว่าตัวเอง ‘เข้าใจแล้ว’ เปลืองน้ำลายมากขนาดนี้เลย
อยู่ไกลเกินกว่าจะเป็นเช่นนั้นได้
ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่านักพรตซุนได้แอบเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์คนหนึ่งด้วย?
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าควรตอบอย่างไร?”
ลู่เฉินเอ่ย “ยาก”
ยกสายเหวินเซิ่งของตัวเองให้สูงขึ้นก็เท่ากับกดสายหย่าเซิ่งให้ต่ำลง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนรวมหรือส่วนตัวล้วนไม่มีปัญหา แต่ตามเหตุตามผลแล้วกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่
แต่หากจะบอกว่าเฉินผิงอันไม่พูดแทนสายบุ๋นของตัวเอง หรือไม่ก็เอาแต่ผลักไสสายหย่าเซิ่งอย่างเดียว นั่นก็ยิ่งไม่ถูกเข้าไปอีก
หากจะตอบว่าทั้งสองอย่างล้วนดี คำตอบที่โง่เขลาเช่นนี้จะไม่ถูกท่านผู้อาวุโสปรมาจารย์มหาปราชญ์เห็นเป็นเรื่องตลกหรอกหรือ?
ลู่เฉินยิ้มเอ่ย “ไม่สู้อ้อมผ่านศึกตรีจตุไปโดยตรงเลย แต่ก็ไม่ถือว่าอ้อมผ่านความรู้ของเหวินเซิ่งและหย่าเซิ่งสองสายอย่างแท้จริง?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พอจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
ลู่เฉินเอ่ยอย่างระอาใจ “ความจริงใจล่ะ?! ขนบธรรมเนียมที่แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนของภูเขาลั่วพั่วมักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจล่ะ? ไหนลองว่ามาสิ คำตอบของเจ้าคืออะไร!”
เฉินผิงอันตอบ “ขงจื๊อกล่าว”
ลู่เฉินรับคำต่อทันที “การศึกษาไม่แบ่งแยกชนชั้น?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ลู่เฉินยกนิ้วโป้งให้ จุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ทั้งไม่กดสายหย่าเซิ่งให้ต่ำ แล้วยังยกระดับของปรมาจารย์มหาปราชญ์ให้สูงขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทั้งยังแอบยกสายเหวินเซิ่งมาข่มสายหย่าเซิ่งครึ่งระดับ ต่อให้เป็นศิษย์พี่จวินเชี่ยนของเจ้าที่ได้ยินประโยคนี้ก็ยังมีแต่จะยิ้มอย่างชอบใจ เบิกบานใจมากเป็นพิเศษ มีแต่จะรู้สึกว่ารากฐานมหามรรคาของตนถึงกับยังมีประโยชน์มหัศจรรย์ถึงเพียงนี้?!”
เฉินผิงอันกล่าว “หากไม่ใช่เพราะในใจคิดเช่นนี้จริงๆ ปากข้าจะกล้าพูดแบบนี้หรือ?”
ลู่เฉินเงียบไปพักใหญ่ จำต้องพยักหน้าเอ่ยว่า “ก็ถูกนะ”
หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นอย่างนี้ ปีนั้นผินเจ้าก็ควรจะตัดสินใจให้เด็ดขาด ตีหัวเจ้าให้สลบเอาใส่กระสอบป่านแย่งตัวไปเป็นศิษย์น้องเล็กของป๋ายอวี้จิงแล้ว ทั้งประหยัดแรงกายประหยัดแรงใจ ไหนเลยจะต้องมีเรื่องยุ่งยากมากมายอย่างทุกวันนี้
ลู่เฉินเงยหน้ามองฟ้า “ฝนกำลังจะตกแล้ว”
เฉินผิงอันเดินนำออกไปจากศาลาก่อน
ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานของตรอกหนีผิง ก่อนจะออกจากบ้านเกิด ก่อนจะออกจากเมืองเล็ก
หยางเหล่าโถวของร้านยาเคยเอ่ยเตือนประโยคหนึ่งว่า ให้เด็กหนุ่มหยิบร่มเดินออกไปจากเรือนด้านหลัง นำไปมอบให้กับอาจารย์สอนหนังสือของโรงเรียน
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กหนุ่มเดินกางร่มท่ามกลางสายฝนไปด้วยกัน
——
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!