“เจ้าลัทธิลู่สามารถพูดถึงข้อที่สองได้แล้ว”
“ก่อนจะไปหาเจ้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทุกสิ่งที่ทำมาต้องสูญเปล่า เรื่องดีกลายเป็นเรื่องร้าย เพื่อระวังไว้ก่อน ข้าจึงเก็บหนึ่งฝันหนึ่งจิตธรรมมาอีก แบ่งออกเป็นเจิ้งห่วนอาจารย์ลัทธิขงจื๊อในความฝัน รวมไปถึงอวี๋เจินอี้ที่ ‘อึ้งงันเป็นไก่ไม้’ อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว ถือโอกาสไปพบลู่ไถมารอบหนึ่ง พูดคุยกันอย่างถูกคอ คุยกันได้ดีมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดูท่าคงต้องฟังคำเตือนของลูกศิษย์ข้าบ้างแล้ว”
ลู่เฉินย้อนถาม “คำตอบข้อที่สาม เจ้าอยากถามผินเต้าว่ากลับไปถึงใต้หล้ามืดสลัวแล้วจะเก็บอะไรกลับมาบ้าง หรืออยากจะถามผินเต้าว่าการ ‘เก็บกลับมา’ ประเภทนี้ เป็นการไขความฝันก็ดีหรือจิตธรรมก็ช่าง จุดจบของพวกมันจะเป็นอะไร?”
“อย่างหลัง”
“ได้รับอิสระอย่างหนึ่งที่ไม่ต้องเป็นหุ่นเชิดถูกชักใยอีกต่อไป ใครเป็นใคร ก็คือใคร ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้าลู่เฉินแล้ว”
อันที่จริงเกี่ยวกับลู่เฉิน ในอารามเสวียนตูเคยมีคำกล่าวอยู่อย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับถ้อยคำหยกทองที่นักพรตซุนป่าวประกาศแก่ใต้หล้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นวลีติดปากผู้คนมากถึงเพียงนั้น
ลู่เฉินผู้นี้ไม่ใช่คนจริง สิ่งที่ดวงตามองเห็นล้วนไม่ใช่ของจริง
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็โพล่งคำถามที่ชวนตะลึงพรึงเพริดว่า “อาจารย์เจิ้งแห่งนครจักรพรรดิขาวผู้นั้น? คงไม่ใช่หนึ่งในห้าฝันจิตเจ็ดธรรมของเจ้าหรอกกระมัง?”
ลู่เฉินอึ้งค้างไร้คำพูด หากไม่ใช่คนที่เคยถูกประตูหนีบหัวมาก่อนจะถามคำถามแบบนี้ออกมาได้หรือ? ลู่เฉินเหมือนถูกห้าอสนีฟาดใส่หัว รีบยกสองมือประกบกันชูขึ้นสูงเหนือศีรษะ พึมพำอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “เฉินผิงอัน พวกเราสองคนพอจะถือว่ามีการช่วงชิงกันระหว่างวิญญูชนได้อยู่กระมัง? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีสถานะเป็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อระบบสายบุ๋น แล้วยังเป็นคนฝึกวรยุทธที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์มากที่สุดด้วย ช่วยมีคุณธรรมในยุทธภพบ้างได้ไหม?! หา?! ต่อให้ระหว่างพวกเราสองคนจะมีบุญคุณความแค้น มีความแค้นส่วนตัวต่อกัน แต่เจ้าก็ไม่ควรใช้วิธีใส่ร้ายคนอื่นอย่างต่ำช้าเช่นนี้กระมัง?”
มารดามันเถอะ สมองเจ้าเจิ้งจวีจงผู้นั้นมีปัญหาจริงๆ หากนอกจากเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกว่า ‘ข้าใช่มรรคาจารย์เต๋าหรือไม่’ ซึ่งเขาเจิ้งจวีจงทำอะไรอาจารย์ข้าไม่ได้แล้ว แล้วยังจะให้เขากินอิ่มว่างงานรู้สึกว่า ‘ข้าใช่ลู่เฉินหรือไม่’ ขึ้นมาอีก เจ้าจะให้ข้าลู่เฉินทำอย่างไร?! พวกเจ้าเคยคิดถึงความรู้สึกของผินเต้าบ้างไหม?
เฉินผิงอันหัวเราะ
อารมณ์ดีขึ้นหลายส่วน
ลู่เฉินหันหน้าไปมองทิวทัศน์นอกศาลา อยู่ดีๆ ก็ทอดถอนใจเอ่ยว่า “ขุนเขาสายน้ำโอฬารงามตา ง่ายที่จะช่วงชิงสายตาของผู้คน หากไม่ทันระวังก็จะช่วงชิงจิตวิญญาณของคนไปด้วย ลมพัดพัดโบกให้ใจส่ายไหว เพียงแต่ว่าการฝึกตนบนภูเขาในทุกวันนี้ วิชาคาถามีมากนับพันหมื่น มีเพียงในเรื่องนี้ที่อย่าเห็นเป็นความเคยชินมากเกินไป เป็นเหตุให้คนที่ระวังมีน้อย น้อยนักที่จะเตือนผู้เยาว์ว่าผู้ฝึกตนก็ไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาที่จำเป็นต้องรวบรวมสมาธิ อย่าให้ถูกบุปผานานาพรรณล่อลวงสายตา อย่าได้ถูกทัศนียภาพงดงามมากมายทั้งมหาบรรพต ลำน้ำใหญ่ พืชหญ้าดอกไม้ คนงาม ช่วงชิงเอาจิตวิญญาณไปทีละน้อย แต่ต้องเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน เอาทุกอย่างมาใช้งาน พลังอำนาจกลืนกินภูเขาสายน้ำ ข้าคือเจ้าแห่งวิถีบูรพา”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คือวิชาชั้นยอดแล้ว”
“ไม่ใช่ว่าช่วยพูดแก้ตัวให้หรอกนะ แต่บอกตามตรงว่าศิษย์พี่อวี๋ของผินเต้าคนนั้น ทำอะไรไม่เคยมีใจที่เห็นแก่ตัวเลยสักนิด”
“นี่ก็เรียบง่ายอย่างยิ่งแล้ว คุณสมบัติในการฝึกตนของศิษย์พี่อวี๋ดีเกินไป มรรคกถากว้างใหญ่เกินไป วิชากระบี่สูงส่งเกินไป ดังนั้นสำหรับตัวของศิษย์พี่อวี๋เองแล้วจึงไม่เคยมีความแค้นส่วนตัวใดๆ แน่นอนว่าการลงมือโดยยึดหลักความเป็นธรรมของเขาก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เป็นการผูกปมแค้นส่วนตัว ยกตัวอย่างเช่นศิษย์น้องของนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูคนนั้น หรือยกตัวอย่างเช่นคนรักของอู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู แน่นอนว่ายังมีศิษย์พี่ฉีของเจ้าเฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าพวกเจ้าแต่ละคนต่างก็เอาบัญชีมาคิดกับอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงกันทั้งนั้น”
“ทางฝั่งของอารามเสวียนตูยังพูดได้ง่าย เพราะถึงอย่างไรศิษย์พี่รองก็ออกหน้าเอง สวมชุดขนนกพกกระบี่เซียนบุกเข้าไปในอารามเสวียนตู สังหารศิษย์น้องของนักพรตซุนกับมือตัวเอง นักพรตซุนมิอาจปล่อยวางไว้ ผินเต้าก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง”
“แต่ฝ่ายของอู๋ซวงเจี้ยง คนรักของเขาก็แค่มาตายเพราะกฎบนมหามรรคาที่ศิษย์พี่อวี๋แห่งป๋ายอวี้จิงกำหนดไว้เท่านั้น”
“ส่วนทางฝั่งของเจ้า หากจะบอกว่าเจียงจ้าวหมอและผังติ่งสังหารฉีจิ้งชุน ไม่มีอะไรให้ปฏิเสธได้ ผู้คนเห็นกันเต็มสองตา พวกเขาเป็นถึงเทียนเซียนแห่งป๋ายอวี้จิงที่คุณธรรมสูงส่ง ด้วยสถานะและมรรคกถาของตัวพวกเขาเองก็ไม่กลัวว่าจะมีคนมาแก้แค้นอยู่แล้ว ส่วนเจ้าที่เป็นศิษย์น้องเล็ก อาศัยการคาดเดามาปะติดปะต่อกันเป็นความจริง จากนั้นได้เห็นภาพนั้นกับตาตัวเอง ดังนั้นจึงต้องการคำอธิบายจากพวกเขา ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดี เพียงแต่ว่าในเมื่อศิษย์พี่อวี๋ไม่ได้ลงมืออย่างแท้จริง อีกอย่างคนที่บีบให้ฉีจิ้งชุนเดินเข้าสู่ทางตันเส้นนั้นต้องเป็นผินเต้าถึงจะถูก ผินเต้าล่ะแปลกใจนักว่าทำไมเจ้าถึงได้มีใจเคียดแค้นศิษย์พี่อวี๋เช่นนี้?”
ลู่เฉินสงสัยในเรื่องนี้มากจริงๆ
ตามหลักแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่น่าจะอนุมานไปถึงบทสนทนาระหว่างตนกับศิษย์พี่อวี๋ได้
อย่างมากสุดก็คิดไปได้ถึงขั้นเดียวกับหุนเจ่อหลินเจิ้งเฉิง นั่นคือเป็นลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่ในมือครอบครองป๋ายอวี้จิงจึงสามารถข้ามทวีปมาเยือนแจกันสมบัติทวีปได้ทุกเมื่อที่บีบให้ฉีจิ้งชุนต้องเดินอ้อมไปทางอื่น
หากเป็นไปได้ล่ะก็ ลู่เฉินก็หวังว่าบัญชีเก่าก้อนนี้จะถูกโยนลงมาที่ตัวเองทั้งหมด
เพราะถึงอย่างไรหากไม่ทันระวัง หลังจากที่บรรพจารย์สามลัทธิสลายมรรคา การเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ครั้งแรกก็จะเกิดขึ้นที่ใต้หล้ามืดสลัว ที่ป๋ายอวี้จิง!
ไม่อย่างนั้นหลี่ซีเซิ่งที่เป็น ‘หนึ่งใน’ ศิษย์พี่ใหญ่ของตนก็คงไม่มีทางกำชับตนด้วย ‘ถ้อยคำรุนแรง’ ตั้งแต่ตอนอยู่ที่สำนักชิงเหลียงของอุตรกุรุทวีปเช่นนั้น!
บวกกับที่ลู่เฉินเพิ่งจะได้ข้อสรุปข้อหนึ่งมา นั่นไม่ใช่การเข่นฆ่าระหว่างผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่สองท่านแล้ว
แต่เป็นสามท่าน!
ศิษย์พี่อวี๋โต้ว ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตู อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉู!
“ล่างภูเขาว่ากันด้วยเรื่องราว บนภูเขาว่าการด้วยการถามใจ เดายากมากหรือ? ไม่ยากเลยสักนิด ผู้ฝึกตนทุกคนบนภูเขาต่างก็ใช้ชีวิตของตัวเองมาอธิบาย มาพิสูจน์หลักการเหตุผลบางอย่าง”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้าเชื่อว่าเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิงที่ยังไม่ได้ ‘หนึ่งปราณแปรเป็นตรีวิสุทธิ์’ ยินดีจะแบกรับผลลัพธ์จากการพ่ายแพ้ในการช่วงชิงบนมหามรรคา นี่เกิดจากจิตแห่งมรรคาของเจ้าลัทธิใหญ่โค่วหมิงเอง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์หลี่แห่งตรอกฝูลู่หรือโจวหลี่นักพรตแห่งสำนักโองการเทพอธิบายอะไรกับใคร เพราะนี่คือเรื่องจริงที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้ว หลี่เซิ่งแห่งใต้หล้าไพศาลของพวกเราก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน จอมปราชญ์น้อยในอดีต หลี่เซิ่งแห่งศาลบุ๋นในภายหลัง เขายืนอยู่ที่ไหน ตรงนั้นก็คือมารยาทพิธีการ”
“เจ้าลู่เฉินเคารพนับถือศิษย์พี่ใหญ่ก็ส่วนเคารพนับถือ แต่เจ้าลู่เฉินไม่มีทางดึงดันเหมือนอย่างอวี๋โต้ว ดังนั้นการกระทำของเจ้าที่อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูมองดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แน่นอนว่าก็แค่ ‘มองดูเหมือน’ เท่านั้น แต่ข้าก็เชื่อว่า ในช่วงเวลาที่มาตั้งแผงดูดวง เจ้าก็ต้องเคยคิดหาวิธีการที่ ‘พบกันครึ่งทาง’ มากมาย การที่ทำไม่ได้ หนึ่งเพราะไม่กล้าวาดงูเติมขา ไม่อยากเข้ามายุ่งเกี่ยวกับขั้นตอนการผสานมรรคาของเจ้าลัทธิใหญ่เกินไป นอกจากนี้ก็คือต่อให้ลู่เฉินอยากจะถอยหนี อยากจะหลบทางให้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำได้เลย”
“เพราะอวี๋โต้วต่างหากจึงจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริง เจ้าลัทธิรองแห่งป๋ายอวี้จิงที่ใจคิดแต่อยากจะกำจัดเป้าหมายทั้งหมดที่จะมาประชันบนมรรคาให้กับเจ้าลัทธิผู้เป็นศิษย์พี่ให้สิ้นซาก อวี๋โต้วไม่มีทางอนุญาตให้หลังจากที่อาจารย์ของเขาสลายมรรคาไปแล้ว ใต้หล้ามืดสลัวยังต้องเสียศิษย์พี่ไปอีกคนหนึ่ง นักพรตเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าได้ต้องมีแค่ศิษย์พี่ที่ช่วยถ่ายทอดมรรคาให้เขาเท่านั้น หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ก่อนที่เจ้าจะหวนกลับใต้หล้าไพศาล เข้ามาในถ้ำสวรรค์หลีจู อวี๋โต้วจะต้องเคยพูดข่มขู่เจ้ามาก่อน ก็เหมือนอย่างที่ข้าข่มขู่นักพรตเนิ่นก่อนหน้านี้ เป็นอย่างไร เจ้าลัทธิลู่ยังฟังความหมายนอกเหนือจากประโยคนี้ของข้าไม่ออกหรือ หรือว่ายังจะแกล้งโง่ต่อไป?”
ลู่เฉินยกสองมือขยี้ใบหน้า ผินเต้าชอบคุยกับสหายชิงถงหรือไม่ก็นักพรตเนิ่นมากกว่าแล้ว
อันที่จริงทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ เพียงแค่คร้านจะพูดออกมาอย่างชัดเจนก็เท่านั้น
ในอนาคตขอแค่เฉินผิงอันไปเยือนป๋ายอวี้จิง ไม่ว่าเหตุผลจะคืออะไร อวี๋โต้วที่เป็นเจ้าลัทธิรองของป๋ายอวี้จิงก็ไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ เป็นแน่
เฉินผิงอันหรี่ตาลง “เข้าใจแล้ว”
ลู่เฉินทำหน้าตกตะลึง “หา?”
ทำไมถึงพูดจาเอาอย่างผินเต้าล่ะ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มิน่าเล่าเจ้าถึงได้พูดประโยคที่เกินความจำเป็นนี้”
ที่แท้ในใต้หล้ามืดสลัวก็เต็มไปด้วยภัยภายในมากมายแล้ว
ไม่อย่างนั้นตนที่ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนด้วยซ้ำก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ลู่เฉินซึ่งบอกว่าตัวเอง ‘เข้าใจแล้ว’ เปลืองน้ำลายมากขนาดนี้เลย
อยู่ไกลเกินกว่าจะเป็นเช่นนั้นได้
ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่านักพรตซุนได้แอบเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์คนหนึ่งด้วย?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!