ลู่เฉินเดินออกมาจากศาลาลมที่มีกรอบป้ายคำว่า ‘เชียนชิว’ กลอนคู่ก็มีแค่อักษรสองคำอย่าง ‘ฝัน’ และ ‘ตื่น’ หลังจากเดินลงบันไดมาแล้วก็หันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่ง
ไม่รู้ว่าคราวหน้าที่ได้หวนกลับคืนมายังสถานที่เดิมจะเป็นเวลาใด
“สถานะของเหยาเหล่าโถวอาจารย์ผู้เฒ่าของเตาเผาพวกเราปีนั้น เจ้าที่มาตั้งแผงดูดวงก็รู้แล้วใช่หรือไม่?”
“ตอนนั้นผินเต้ายังไม่ค่อยแน่ใจในสถานะของตาเฒ่าเหยาสักเท่าไร แค่พอจะเดาได้บ้างหลายส่วน การอนุมานความลับสวรรค์อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูคือเรื่องที่กินแรงแล้วยังไม่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ง่ายมากที่จะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม”
“เจ้าคิดว่าอาจารย์ฉีรู้หรือไม่?”
“ฉีจิ้งชุนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูนานถึงหกสิบปี อีกทั้งยังมีสถานะเป็นอริยะผู้เฝ้าพิทักษ์ เกินครึ่งก็น่าจะรู้มานานแล้ว ดังนั้นภายหลังเมื่อผินเต้าทบทวนกระดานในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเดินท่องแม่น้ำแห่งกาลเวลามารอบหนึ่งก็รู้สึกประหลาดใจเป็นทบทวีจริงๆ”
เมืองเล็กสะสมทัณฑ์สวรรค์ใหญ่มหาศาลมานานสามพันปี รวมถึงผลกรรมทั้งหมดของชาวบ้านในเมืองเล็ก ล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ ไม่มีทางหล่นลงสู่ความว่างเปล่า แต่คนที่ยินดีเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ อันที่จริงนอกจากฉีจิ้งชุนแห่งลัทธิขงจื๊อแล้วยังมีเหยาเหล่าโถวที่ประวัติความเป็นมาลึกล้ำเกินจะคาดเดา นั่นคือมาจากดินแดนพุทธะสุขาวดี
ดังนั้นแรกเริ่มเมื่อฉีจิ้งชุนเตรียมจะพาจ้าวเหยาออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู หากไม่เป็นเพราะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วจึงจากไปอย่างวางใจ ไม่อย่างนั้นก็เพราะแน่ใจในเรื่องนี้แล้ว แต่กลับไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม เพียงแค่ใช้เวทอำพรางตาอย่างหนึ่ง ส่วนเหตุผล ก็น่าจะเป็นกรอบป้ายสี่อักษรของซุ้มก้ามปูในเมืองเล็กคำว่าตังเหรินปู้รั่ง? (ไม่เกี่ยงงอนในภาระหน้าที่ที่พึงทำ) แล้ว?
พูดง่ายๆ ก็คือ หากใช้ความเห็นของลู่เฉิน ก็เหมือนว่าตน ศิษย์พี่อวี้โต้วและป๋ายอวี้จิงทั้งแห่งต่างก็ถูกเหยาเหล่าโถวขุดหลุมหลอกให้ตกลงไปอย่างแรง
แต่ลู่เฉินก็ยอมรับความพ่ายแพ้อย่างยินยอมพร้อมใจ ในเมื่อฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ก็จงยืนนิ่งๆ ให้โดนตีแต่โดยดี
ก็เหมือนอย่างที่ลู่เฉินพูดเอง เขายังคงประมาทเกินไป ก่อนจะออกเดินทาง การไขความฝันและจิตธรรมที่ถูกเก็บรวบรวมมายังอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าพอ เพียงแต่นึกว่าตัวเองให้ความสำคัญมากพอแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับยังดูแคลนรากฐานของถ้ำสวรรค์หลีจูและความซับซ้อนของเส้นสายทั้งหลายมากเกินไป
“ศาลบุ๋นปฏิบัติต่ออาจารย์ฉีในปีนั้น เหมือนกับที่ปฏิบัติต่อการพกกระบี่ออกเดินทางไกลไปเยือนฝูเหยาทวีปของอาจารย์ป๋ายในภายหลังหรือไม่?”
“อืม ค่อนข้างเหมือน ดังนั้นถึงได้มีเสียงถอนหายใจจากจอมปราชญ์น้อยแห่งศาลบุ๋นอย่างไรเล่า”
“จิตสังหารที่แท้จริงดูเหมือนจะเกิดขึ้นจากตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตตัวที่สองที่อาจารย์ฉีเรียกออกมา? มหามรรคาของป๋ายอวี้จิงใหญ่แค่นี้เองหรือ?”
“นี่ก็คือบัญชีเลอะเลือนบัญชีหนึ่งที่อาม่าบอกว่าตัวเองมีเหตุผล อากงก็พูดว่าตัวเองมีเหตุผล”
บนเส้นทางของการเดินทางไกล เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงไม่เคยเป็นฝ่ายไปเยือนสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ อารามเต๋าหรือวัดวาอารามที่ควันธูปโชติช่วงแห่งใดด้วยตัวเองมาก่อน
ครั้งแรกที่ยอมแหกกฎดูเหมือนจะเป็นที่วัดซินเซียงของพื้นที่มงคลดอกบัว ไปพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับภิกษุเฒ่ารูปนั้น รวมไปถึงภายหลังที่ไปเยือนอารามจินกุ้ยแคว้นชิงหลวน เข้าร่วมงานพิธีบนภูเขาครั้งแรกในชีวิต นอกจากสำนักศึกษาซานหยาที่อาจารย์ฉีสร้างขึ้นด้วยมือตัวเองแล้ว ก็มีแค่ใช้สถานะอิ่นกวานในภายหลังมาเข้าร่วมการประชุมของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเท่านั้นจริงๆ
ก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มรองเท้าแตะในเวลานั้นก็เหมือนกบใต้บ่อตัวหนึ่งที่เห็นเพียงดวงจันทร์ในน้ำที่อยู่ใต้บ่อ ไม่เคยเห็นท้องฟ้า หรือควรจะพูดว่าท้องฟ้าที่เงยหน้ามองเห็นก็ใหญ่เท่าแค่ปากบ่อเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงได้ยินดีมอบดวงจันทร์เฮ่าไฉ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้กับใต้หล้ามืดสลัวที่มีศิษย์พี่อวี้โต้วเป็นผู้ดูแลหนึ่งร้อยปี?”
“คนละเรื่องกัน อวี๋โต้วเองก็ไม่ยินดีข้ามใต้หล้านำกระบี่มาให้อาจารย์ป๋ายยืมเหมือนกัน”
“ตอนที่คนบางคนไปเป็นแขกที่ป๋ายอวี้จิงเคยพูดประโยคประหลาดอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุกับผินเต้า บอกว่าตอนที่ศิษย์พี่อวี๋โต้วเป็นผู้ดูแลป๋ายอวี้จิง บนเส้นทางของใต้หล้ามืดสลัวก็ไม่รู้ว่าล้อรถบดขยี้ดอกไม้ต้นไม้ริมทางไปกี่มากน้อย ทว่าคนขับรถกลับมองเห็นเป็นเรื่องปกติ จนถึงทุกวันนี้ผินเต้าก็ยังไม่เข้าใจว่าประโยคนี้ของเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่? แน่นอนว่าไม่ได้บอกว่าแม้แต่ความหมายตามตัวอักษรผินเต้าก็ยังไม่เข้าใจ แต่เป็นเพราะประหลาดใจว่าสรุปแล้วเขาพูดถึงใครกันแน่?”
“คือผีตนหนึ่งที่กลัวผีมาก ต่อมาก็ไม่กลัวแล้วซึ่งถือว่าไม่ง่ายเลย สุดท้ายจะกลัวหรือไม่กลัวก็ดูเหมือนว่าจะไม่สำคัญอีกแล้ว”
เฉินผิงอันพูดคุยกับลู่เฉินไปเช่นนี้ตลอดทาง กลับไปที่บ้านพักด้วยกัน แม้แต่ชิงถงกับนักพรตเนิ่นก็ยังมองความผิดปกติใดๆ ไม่ออก
ก่อนจะลงจากภูเขา เฉินผิงอันได้มอบของขวัญแสดงความยินดีให้กับศาลบรรพจารย์ภูเขาโหลวซานหนึ่งชิ้น อวยพรให้โอสถทองหนุ่มคนนั้นบุกเบิกยอดเขาได้สำเร็จ
คือลูกธนูดอกหนึ่งที่แกะสลักเป็นลายเมฆ และมีอักษรคำว่า ‘เวลา’ ซึ่งได้มาจากนครอวี้ป่านราชวงศ์อวิ๋นเหวินของใต้หล้ามืดสลัว ได้ถูกเฉินผิงอันที่ตอนนั้นมีมรรคกถาขอบเขตสิบสี่ลบผลกรรมทั้งหมดทิ้งไปแล้ว
ถึงอย่างไรก็มีราคามากกว่าเงินฝนธัญพืชสองเหรียญมากนัก
ก่อนหน้านี้ตอนเจอกับฮ่องเต้หวงชง เฉินผิงอันก็มอบของขวัญแสดงความยินดีในการกอบกู้แคว้นของแคว้นเมิ่งเหลียงไปชิ้นหนึ่งเหมือนกัน
เขามอบก้อนหมึกสีแดงสดบนภูเขาก้อนหนึ่งให้ฮ่องเต้หนุ่ม มีตัวอักษรสีทองสามคำว่า ‘ถนอมดุจทองคำ’
นอกจากนี้เฉินผิงอันยังมอบพู่กันด้ามไม้ไผ่ซึ่งทำจากกรรมวิธีลับของจวนซานจวินมหาบรรพตอุดรภูเขาพีอวิ๋นที่แกะสลักคำว่า ‘เขียวขจีนานหมื่นปี’ ให้กับฮ่องเต้หนุ่มด้วย
เล่าลือกันว่าไผ่เขียวที่เอามาทำกระบอกไม้ไผ่มาจากไผ่เขียวของภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่แผ่นดินกลาง ด้วยเหตุนี้จึงมีจำนวนน้อยมาก ล้ำค่าหาได้ยากยิ่ง ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือต้าหลีเคยมีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นทำการคำนวณอย่างละเอียดบอกว่า งานเลี้ยงท่องราตรีถูกจัดขึ้นหลายครั้งขนาดนั้น ทว่าพู่กันไม้ไผ่ที่ซานจวินเว่ยป้อมอบออกไปต้องไม่มีทางเกินสิบด้ามแน่นอน
หนีหยวนจานคิดว่าจะอยู่ในอาณาเขตของแคว้นเมิ่งเหลียงแห่งนี้นานกว่าที่คาดการณ์ไว้สักระยะหนึ่ง ก่อนจะกลับไปยังพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียง
แน่นอนว่าเพื่อมอบโอสถทองเม็ดนั้น แต่จะมอบให้ใคร หนีหยวนจานย่อมมีแผนการเป็นของตัวเอง ปีนั้นเจ้าอารามผู้เฒ่าได้ทิ้งเบาะแสไว้เส้นหนึ่ง
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องบอกให้คนนอกรู้
ส่วนเฉินผิงอันกับลู่เฉิน หากทั้งสองฝ่ายสามารถอาศัยความสามารถของตัวเองอนุมานทิศทางการดำเนินไปของเรื่องนี้ออกมาได้อย่างแม่นยำ มองข้ามการดำรงอยู่ของเจ้าอารามผู้เฒ่าคนหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง จากนั้นทำอะไรไร้ความกริ่งเกรง ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับข้าหลูเซิงแล้ว
เฉินผิงอันรู้ว่าอาจารย์หนีจะอยู่ต่อที่นี่ก็ผลักเรือตามกระแสน้ำ แนะนำให้อาจารย์หนีไปรับหน้าที่เป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของพรรคหวงเหลียง
สำหรับเรื่องนี้หนีหยวนจานไม่ได้คิดมาก แค่ใคร่ครวญเล็กน้อยก็ตอบตกลงทันที ยิ้มเอ่ยว่า “ทางฝั่งของประมุขสกุลเจียงและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา คงต้องรบกวนให้เจ้าขุนเขาเฉินช่วยพูดจาดีๆ แทนข้าสักสองสามประโยคแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คิดดูแล้วก็ไม่ได้มีปัญหามากนัก ข้าจะส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปที่ศาลบรรพชนของสกุลเจียงกับมือตัวเอง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!