นอกจากผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบคน
หนึ่งแล้ว ยังมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งที่อยู่ในขั้นเทพมา
ขอบเขตปลายทาง
มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับหลีโก้ว ในช่วงยุคบรรพกาลทั้งสอง
ฝ่ายมักจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปในใต้หล้าด้วยกันเป็นประจํา
“นักพรต” และ “บัณฑิต” ที่ถูกชายฉกรรจ์คนนี้สังหารเองกับมือ จะ ถูกเขาโยนทิ้งเข้าไปในถุงจักรวาลของหลีโก้ว
ชีวิตนี้ป้ายจิ่งมีความเสียดายอยู่แค่สามอย่าง เรื่องหนึ่งในนั้นก็ คือมิอาจฝึกตนควบกับเรียนวรยุทธได้
เรื่องที่สองก็คืออ่านตําราไม่เข้าหัว
ส่วนเรื่องที่เสียดายเป็นเรื่องที่สามน่ะหรือ…ป๋ายจึงขยําหมวกขน
เดียวบนศีรษะของตัว เองหัวเราะหึหึ ก็ไม่แปลกที่นางจะรู้สึกลําบากใจ นอกจากเสี่ยวโม่ที่ไม่ได้มาเข้าประชุม ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ป๋ายเจ๋อก็มีป้ายจิ่ง กวานอี๋ หลีโก้ว
หูถู หวังโยวอู๋
รวมไปถึงชายฉกรรจ์ที่ไม่มีนามแฝง ถึงขั้นที่ว่าทุกวันนี้ก็อาจจะ ยังไม่มีชื่อจริงของเผ่า ปีศาจด้วยซ้ํา ดังนั้นป้ายจิ่งจึงตั้งชื่อที่ไม่
เหมือนชื่อให้เขา อู๋หมิงซื่อ (คนไม่มีชื่อ)
ป้ายเจ๋อมองไปทางหลีโก้ว เอ่ยว่า “ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัวมี เซียนอิสระที่เป็น นักพรตหญิงคนหนึ่งฉายาว่า “ไท่อิน” นามอู๋โจว ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับเจ้า แต่ นางได้เดินนําเจ้าก้าว หนึ่งเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่ไปก่อนแล้ว
ปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลที่มีตาดําสองชั้นผู้นี้เพียงแค่พยักหน้า
รับอย่างเฉยเมย มองไม่ ออกถึงริ้วคลื่นกระเพื่อมในหัวใจเลยแม้แต่
น้อย
อมใน
ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานขั้นสมบูรณ์แบบคิดจะเลื่อนเป็น
ขอบเขตสิบสี่ กลัวก็แต่ว่า บนเส้นทางไม้คับแคบจะมีคนเดินนําอยู่ ข้างหน้าก่อนแล้ว
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเจอกับ ‘ปราการธรรมชาติ’ ประเภทนี้ก็คงได้ แค่ทําเหมือนเหวยเช่อ แห่งธวัลทวีป เพราะมิอาจตามหาเส้นทางอื่นๆ ได้เสียที ปณิธานจึงมอดดับลงนับแต่นั้น
เอ
หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นอย่างหลิ่วซีที่ยังมีแรงใจพอจะแสวงหา วิธีการอย่างอื่น ตามหา โอกาสจากบนสมุดชะตาชีวิตคู่ ด้วยเหตุนี้จึง ยอมเดินทางข้ามสองทวีปอย่างไม่รู้สึก เหน็ดเหนื่อย
เซี่ยโก่วเหลือบตามอง “เด็กหนุ่ม” คนนั้น นางส่งเสียงจุ๊ๆ ดังรัวๆ เอ่ยอย่างมีความสุข บนความทุกข์ของคนอื่นว่า “น่าสงสารเสียจริง” เซี่ยโก่วยิ่งพูดก็ยิ่งสนุกปาก “จะโทษคนอื่นไม่ได้นะ ใครใช้ให้ปี นั้นเจ้ากินอิ่มว่างงาน ดึงดันจะงัดข้อกับบัณฑิตผู้นั้น ให้ได้
ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะมีเรื่องของนักพรตหญิงอะไรนั่น ป่านนี้เจ้าคง
เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ไปนานแล้ว ข้าเจอเจ้าบนถนนก็ยังต้องเดิน
อ้อมไปเลย นะ”
บัณฑิตที่เคยต่อสู้กับหลีโก้วผู้นั้น เขาคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ ภาคภูมิใจของปรมาจารย์ มหาปราชญ์ ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่าเป็น คนที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ชื่นชอบมากที่สุด ไม่มี หนึ่งในด้วยซ้ํา ความสามารถในการต่อยตีของคนผู้นี้จะต่ําได้อย่างไร แต่ก็พูดไม่ได้ ว่าหลีโก้วพ่ายแพ้ยับเยิน แพ้นั้นแพ้แน่อยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ถึงอย่างไรก็บาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย ทั้งสองต่างก็ไม่อาจเลื่อนเป็น
ขอบเขตสิบสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลีโก้วที่ปีนั้นถือว่า คุณสมบัติยอด
ประเด็นสําคัญคือเจ้า
เยี่ยมที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนเกมาย ไม่ว่าจะมองอย่างไร
หมอนี่ ยังหัวดี
ก็มีโอกาสที่จะพัฒนาไปอีกขั้น สามารถยืนเคียงบ่ากับพวกบรรพ
จารย์ใหญ่ของภูเขาหัวเยว่และป้ายเจ๋ออยู่บนยอดเขาของโลกมนุษย์
ได้
เด็กหนุ่มเองก็เหล่ตามองป๋ายจิ่งเหมือนกัน
เซี่ยโก่วกะพริบตาปริบๆ “หืม?”
เจ้าตัวน้อย จะให้โอกาสเจ้าได้พูดคุยดีๆ สักครั้ง
หลีโก้วผู้นี้ ปีนั้นชอบอ่านหนังสืออย่างมาก จนเป็นเหตุให้ได้ ฉายาว่า “ปลามอดกิน ตํารา’ ว่ากันว่าเขามีความคิดหนึ่ง นั่นคือ
ขึ้นมาแห่งหนึ่ง
เป็นเหตุให้เบื้องใต้ชุดคลุมอาคมสามชิ้นของเด็กหนุ่มที่มีตาดํา
สองชั้นเต็มไปด้วยลายสัก
ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล หลีโก้วถึงขั้นเคยเป็น “บัณฑิต” ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ดูเหมือนจะมี ความขัดแย้งกับนักบัญชีคนหนึ่งในกลุ่มบัณฑิต กลุ่มนั้น สุดท้ายก็ แยกย้ายกันไปทางใครทางมัน จากนั้นก็ต่อสู้กับบัณฑิตที่ในมือถือ
กระบี่พกของปรมาจารย์มหาปราชญ์อย่างดุเดือดไปครั้งหนึ่ง น่า
สงสาร จะไม่น่าสงสารได้อย่างไร?
หลีโก้วยังคงเงียบงัน
เซี่ยโก่วได้คืบแล้วจะเอาศอก ไม่ได้หยุดแต่พอสมควร กลับกันยัง
ขยับฝีเท้าเข้าใกล้
เด็กสาวกับเด็กหนุ่มที่ตัวสูงพอๆ กัน
เผชิญหน้าสบสายตากันอยู่อย่างนั้น
ปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่มีประสบการณ์โชกโชน มีความ
อาวุโสสูงมากกลุ่มนี้
อันที่จริงต่างก็รู้ไส้รู้พุงกันดี แต่ละคนมีวิธีการอย่างไร มีวิชา อภินิหารที่เป็นสมบัติกันกรุแบบไหนบ้าง วัตถุแห่งชะตาชีวิตเป็น
อย่างไร ล้วนมิอาจปิดบังกันได้
พูดกันถึงพลังพิฆาต อู๋หมิงชื่อ เซี่ยโก่ว เสี่ยวโม่
พูดถึงด้านการป้องกัน คือหลีโก้ว เซี่ยโก่ว เสี่ยวโม่
นักพรตเฒ่าสวมกวานไม้ไผ่ที่ขี่กวางสะพา
โน้มน้าว “อย่าทะเลาะกันเอง”
กระบี่ได้แต่ออกหน้า
เซี่ยโก่วกลับยังเดินขึ้นหน้าไปอีกก้าว จนหน้าผากของนางกับ
หลีโก้วเกือบจะชนกันอยู่แล้ว
หลีโก้วยืนนิ่งไม่ขยับ
เซี่ยโก่วพลันโน้มตัวไปข้างหน้า เอาหัวกระแทกกับหน้าผากของ อีกฝ่าย เพียงแต่ไม่ได้ ออกแรงมาก ราวกับว่าทั้งสองเป็นแค่เด็กหนุ่ม เด็กสาวธรรมดาทั่วไปคู่หนึ่งเท่านั้น ศีรษะ ของหลีโก้วสะบัดแกว่ง แต่
ไม่แรงมาก
ในที่สุดหลีโก้วก็ยอมเปิดปากพูด น้ําเสียงแหบพร่า “ป๋ายจิ่ง เจ้า เอาแค่พอสมควรก็ พอแล้วนะ”
เด็กสาวที่สวมหมวกขนเดียว สองข้างแก้มแดงเป็นปั้นพลันคลื่ ยิ้มสดใส เจ้าที่เป็นขอบเขตบินทะยาน ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่เสียหน่อย คือ เศษสวะที่พลังพิฆาตไม่สูง มากพอ จะมากร่างกับข้าได้หรือ
วินาทีนั้นร่างของหลีโก้วก็ไม่ใช่แค่ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆ เท่านั้น
แต่ร่างทั้งร่างคล้ายถูก สับออกเป็นเศษเล็กเศษน้อยหลายหมื่นชิ้น
เพียงแต่ว่าเพียงครู่เดียว
เรือนกายของเด็กหนุ่มก็ประกอบกลับ
เข้าด้วยกันได้อีกครั้ง จากนั้นก็ถูก “สับแหลก” อีกครั้ง แล้วกลับคืนสู่
ร่างเดิมอีกหน
น้อย แล้วก็ไม่ได้เรียก
วัตถุแห่งชะตาชีวิตออก มา แต่กลับสามารถ “แยกร่าง” ออกได้ด้วย
ตัวเอง หลบเลี่ยงปราณกระบี่ถี่หนานับพันนับ หมิ่นเส้นนั้นมาได้
ป๋ายเจ๋อกล่าว “พอได้แล้ว”
เซี่ยโก่วถึงได้หยุดมือ รวบรวมปราณกระบี่พวกนั้นกลับมาในชั่ว
พริบตา อ่านต่อที่ โนเวลแอลเ
ในเวลาออด
นางไม่ได้ใช้กระบี่บินสักหน่อย
เหอะ
ไม่เสียแรงที่เคยเรียนรู้วิธีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะหลายกระบวน
ท่ามาจาก “นักพรต ผู้นั้น
ผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งในโลกมนุษย์ช่างเป็นคนที่คุยง่ายที่สุดในใต้
หล้าจริงๆ ถึงขั้นไม่มี หนึ่งในสองในอะไรด้วยซ้ํา
เพราะว่าขอแค่มีคนถาม เขาก็จะต้องสอนให้แน่นอน
ไม่ว่าใครจะถามอะไร เขาก็ยอมสอนทั้งนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!