การเดินทางข้ามมหาสมุทรกลับเหนือครั้งนี้ เพราะคานวณถึง ความเร็วในการเดินทางลงใต้ของผู้ที่จะมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่วคน นั้นไว้คร่าวๆ แล้ว จึงไม่ได้รีบร ้อนเดินทางมากเป็ นพิเศษ เฉินผิงอัน ถือโอกาสร่ายวิชาเวทกระบี่หลบหนีบทนั้นไปด้วย เรือนกายกลายเป็ แสงกระบี่หลายสิบเส้นครั้งแล้วครั้งเล่า ใช ้วิชาการหลบหนีที่แทบจะ มองข้ามแม่น้ากาลเวลาอยู่เหนือริ้วคลื่นสีมรกต ท่องเที่ยวไปในโลก มนุษย์อย่างสบายอุรา หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือ แสงกระบี่ทุกเส้น สามารถไล่ตามเส้นสายน้าอันละเอียดอ่อนบางเส้นของแม่น้าแห่ง กาลเวลาไปได้ ลักษณะคล้ายกับการ “เดินอยู่ในน้า” เมื่ออยู่ในฟ้ า ดินก็เหมือนคนไร ้ขอบเขตที่เข้ามาในดินแดนไร ้ผู้คน
เฉินผิงอันศึกษาซ้าแล้วซ้าเล่ามาหลายหมื่นครั้ง ในที่สุดก็ สามารถได้แรงไฟที่พอๆ กับเวทหลบหนีที่หนิงเหยาร่ายใช ้เป็ นครั้ง แรก นี่ก็น่าจะเรียกว่านกโง่ต้องหัดบินก่อน ความมานะหมั่นเพียร ชดเชยส่วนที่ขาดได้?
ไปหยุดพักอยู่บนเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่งที่ใกล้กับบนบกของ แจกันสมบัติทวีปชั่วคราว เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนกิ่งไม้ สองมือทาท่า กอบประคอง ร่ายเวทน้า กลางฝ่ ามือทั้งสองก็เหมือนมีน้าพุผุดพุ่ง ขึ้นมา จากนั้นเขาก็เอาน้าในมือนั้นมาล้างหน้า
เสี่ยวโม่ที่อยู่ด้านข้างวางไม้เท้าเดินป่ าไผ่เขียวพาดขวางไว้บน หัวเข่า เอ่ยว่า “คุณชาย มีคุณสมบัติที่ดีจริงๆ”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างขันๆ ปนฉุน “พูดจาที่ผิดต่อมโนธรรมใน ใจให้น้อยๆ หน่อยเถอะ ค าประจบไม่มีผลอะไรกับข้าหรอกนะ”
เสี่ยวโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เวทกระบี่ในใต้หล้า ท่วงท่าที่ผู้ฝึก กระบี่แต่ละคนร่ายออกมามีความสูงต่าต่างกันไป นี่คือหลักการทั่วไป การที่เป็ นเช่นนี้ก็หนีไม่พ้นมีขีดจากัดอยู่ที่ขอบเขตในปัจจุบันของผู้ ฝึกกระบี่ ตามคากล่าวของผู้อาวุโสที่สอนเวทกระบี่ให้เสี่ยวโม่ท่านนั้น ผู้ที่สามารถดึงเอาสัจธรรมแท้จริงของมรรคกถามาจากเวทกระบี่ได้ มากที่สุดก็คือผู้มีพรสวรรค์ที่ซ่อนแฝงอย่างหนึ่ง ฝึ กตนเช่นนี้ก็คือ การฝ่าทาลายสิ่งกีดขวาง”
เฉินผิงท าท่าครุ่นคิด เช็ดคราบน้าที่อยู่บนใบหน้า สะบัดข้อมือ “พูดต่อสิ”
เสี่ยวโม่จึงเอ่ยต่อว่า “คุณสมบัติดีร ้ายของผู้ฝึกกระบี่ไม่อาจดูแค่ ความเร็วช ้าในช่วงเริ่มต้นของการเรียนกระบี่ได้ นั่นเป็ นแค่ความ แตกต่างระหว่างผู้มีพรสวรรค์กับคนโง่เขลาตามความหมายทั่วไป เท่านั้น ความรู ้ความเข้าใจยังตื้นเขินเกินไป ยกตัวอย่างเช่นเสียวโม่ ร่ายเวทกระบี่บทนี้ย่อมร่ายได้อย่างผ่อนคลายสบายๆ แต่กลับไม่มี พัฒนาการใดๆ ส าหรับตัวเวทกระบี่เองหรือกับฟ้ าดินเล็กร่างกาย มนุษย์ก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ แต่คุณชายกลับไม่เหมือนกัน นี่ก็คือ ความหมายในระดับลึกอีกชั้นหนึ่งของ ‘ฟ้ าดิน” แห่งเวทกระบี่ ถึง
อย่างไรเวทกระบี่ก็ตายตัว ทว่าผู้ถือกระบี่กลับเป็ นคนมีชีวิต ยกตัวอย่างเช่นเสี่ยวโม่เดินทางขึ้นเหนือไปพร ้อมกับคุณชาย ใช ้เวท กระบี่บทนี้ก็หนีไม่พ้นว่าใช ้ปราณวิญญาณในร่างกายตัวเองมาหมัก เป็ นสุรา ได้แต่ดื่มเองเท่านั้น ไม่มีทางเพิ่มปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์ได้ แม้แต่สักเศษเสี้ยว กลับกันยังเป็ นการกระทาที่เผาผลาญปราณ วิญญาณอย่างหนึ่งด้วย คุณชายร่ายใช ้กลับเหมือนการดื่มน้าจาก นอกฟ้ าดิน หลอมเรือนกายและจิตวิญญาณ เพิ่มพูนปณิธานกระบี่ แรงส่งช่วงหลังของผู้ฝึกกระบี่ก็มักจะได้มาเพราะเหตุนี้ คุณชาย และ ยังมีจงหยวนแห่งกาแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นั้น บางทีน่าจะถือว่าเป็ น ผู้ฝึ กกระบี่ประเภทนี้ด้วยกันทั้งคู่ มีความทนทานยืดหยุ่นสูง สะสม มากใช ้ทีละน้อย เมื่อเวลาผันผ่าน ยิ่งเป็ นช่วงหลังๆ เส้นทางที่เดินก็ยิ่ง ไร ้ช่องโหว่ยิ่งกว้างขวางมากขึ้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “คากล่าวนี้ดับกระหายได้ดี มาก”
ดูทาในเรื่องของการคุยเล่น เสี่ยวโม่กับเทพเซียนผู้เฒ่าเจี่ย มองดูเหมือนใช ้วิธีการไม่เหมือนกัน แต่กลับถือว่าเส้นทางแตกต่าง ทว่าจุดหมายปลายทางกลับเป็ นที่เดียวกัน
เสี่ยวโม่เงียบไปพักหนึ่ง ยื่นมือมาลูบไม้เท้าไผ่เขียวเบาๆ เอ่ย อย่างปลงอนิจจังว่า “ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนหลายคน ยิ่งเรียนรู ้ ได้เร็วเท่าไรกลับยิ่งทาผิดพลาดได้มากเท่านั้นบางทีอาจสามารถใช ้ เวทกระบี่หรือวิชาอภินิหารที่มากกว่าเดิมมาชดเชยและปิดบัง แต่สัก
วันหนึ่งเมื่อยืนอยู่นอกประตู มรรคกถาที่ฟ้ าดินเล็กร่างมนุษย์ของผู้ ฝึกตนทุกคนสามารถรองรับได้ก็มีจ านวนจากัดอยู่ดี ถ้าอย่างนั้นเมื่อ สุดท้ายเจอเข้ากับคอขวดก็ยากดุจเดินขึ้นสวรรค์ หันไปทางใดก็ต้อง ชนเข้ากับก าแพง ต้องเจอความยากล าบากอย่างใหญ่หลวงแล้ว”
“นี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทาไมตอนแรกคนหลายๆ คนที่มีเสี่ยวโม่ ป๋ า ยจิ่ง หย่างจื่อ จูเยี่ยนเป็ นหนึ่งในนั้น ถึงได้เลื่อนเป็ นขอบเขตบิน ทะยานได้อย่างราบรื่น แต่เหตุใดถึงได้ทาลายคอขวดของขอบเขต บินทะยานได้ยากเพียงนี้ นี่ก็เพราะระหว่างเส้นทางการเดินขึ้นสู่ที่สูง ของพวกเรา เดินเร็วเกินไป แสวงหาขอบเขตที่มองเห็นและสัมผัส ได้มากเกินไปจนหลงลืมการดึงเอาหลักแห่งมรรคาที่เป็ นมายา ล่องลอยมา พลาดเรื่องราวที่เดิมทีควรต้องให้ความสนใจไปมากมาย เหลือเกิน เพราะส่วนลึกในใจของพวกเราไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ หรือ ควรจะพูดว่า อันที่จริงพวกเราแค่เชื่อมั่นในเวทกระบี่และมรรคกถา ไม่ยอมเชื่อใจตัวเอง”
มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีนั้นอยู่ที่ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ของใต้หล้าเปลี่ยวร ้างได้รับการยอมรับจากหลายใต้หล้าว่ามีพลัง สังหารสูงที่สุด ข้อเสียก็คือจานวนของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่เลื่อนเป็ น ขอบเขตสิบสี่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์ที่อยู่ในอีกสามใต้หล้าที่ เหลือแล้ว ก็ยังคงอยู่ในสภาวะที่ตกเป็ นรองมาโดยตลอด
เฉินผิงอันกล่าว “ประโยคสุดท้ายนี้มีความหมายมากแล้ว”
เสี่ยวโม่กล่าว “นี่จึงเป็ นเหตุให้ทุกวันนี้พวกเราร่ายเวทกระบี่ก็ดี ใช ้วิชาอภินิหารคาถาเซียนก็ช่าง ล้วนเป็ นการย้อนทวนความทรงจ า และย้อนกลับไปถึงต้นกาเนิดอย่างหนึ่ง ทว่าคุณชายกับจงหยวน ไม่ได้เป็ นเช่นนี้ คือการเดินขึ้นสู่ที่สูงมองไปยังทิศไกลที่ทุกก้าวย่าง เหยียบย่างอย่างมั่นคง ทั้งมองเส้นทางเบื้องหน้าที่อยู่ในจุดที่สูงยิ่งกว่า แล้วก็หันกลับไปมองเส้นทางที่เดินผ่านมาด้วย”
“แน่นอนว่าเมื่อเปรียบเทียบกับป๋ ายจิ่งและข้าแล้ว คุณสมบัติด้าน การฝึกตนของจูเยี่ยนกับหย่างจื่อล้วนเป็ นรองระดับหนึ่ง”
เฉินผิงอันกล่าว “ความรู ้ความเข้าใจจากการฝึกตนพวกนี้ของ เจ้า วันหน้าข้าจะให้ชุยตงซานน าไปบอกต่อแก่พวกไฉอู๋ ซุนชุนหวัง เชื่อว่าน่าจะต้องมีประโยชน์อย่างมาก”
เสี่ยวโม่ยิ้มบางๆ “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนเรือเพิ่งยวน ข้าเคยพูด เรื่องนี้กับเด็กๆ อย่าง ไฉอู๋ ซุนชุนหวังแล้ว ดูจากท่าทางพวกเขาก็ น่าจะฟังเข้าหูกันแล้ว เพียงแต่ว่าหลักการที่เลื่อนลอยพวกนี้ เกรงว่า คงยังต้องเอาไปรวมกับด่านการฝึ กตนของพวกเขา เมื่อมี ประสบการณ์กับตัวเองมากเข้า ทั้งเรื่องราวและหลักการช่วย ตรวจสอบยืนยันให้กันและกันนั่นจึงจะเป็ นหลักการเหตุผลที่สามารถ ขบได้แตก กินได้หมดอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่มีสิ่งใดจะยกเว้นได้”
ค ากล่าวโบราณว่าไว้ได้ดี อยากรู ้เส้นทางบนภูเขา ต้องถามจาก คนล่างภูเขา
มารดามันเถอะ มีเพียงผู้มีพรสวรรค์กับผู้มีพรสวรรค์เท่านั้นถึงจะ คุยกันได้รู ้เรื่องจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ไม่แน่ว่าอีกไม่นานเจ้าอาจจะ ได้พบกับสหายเก่าอย่างหย่างจื่ออีกครั้งแล้วก็ได้ เพราะนางทาการค้า ครั้งใหญ่กับข้า ทาให้ได้รับอิสระมาจากทางศาลบุ๋น นางจึงจะเข้าร่วม เรื่องการขุดเจาะลาน้าใหญ่ของใบถงทวีปด้วย”
เสี่ยวโม่กับชิงถึงไม่ถือว่าเป็ นสหายเก่าอะไรกัน แค่เคยพบหน้า กันไกลๆ มาก่อนเท่านั้น แต่เสี่ยวโม่กับหย่างจื่อกลับเป็ นเพื่อนเก่า ตามความหมายที่แท้จริงแล้ว
เสี่ยวโม่ได้ยินก็หันมามองคุณชายตัวเอง แต่กลับมองสีหน้าหรือ ริ้วกระเพื่อมบนจิตแห่งมรรคาอะไรไม่ออก เสี่ยวโม่จึงเก็บความสงสัย ในใจเอาไว้ก่อน
จิตของเฉินผิงอันพลันขยับไหวเล็กน้อย เขารีบหยิบยันต์แผ่น หนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อทันที คลี่ยิ้มกว้างเจิดจ้า ลมปราณของ ทั้งร่างแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับกลายเป็ นคนละคน
นี่ทาให้เสี่ยวโม่โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ยันต์ใหญ่ที่อยู่บนมือเฉินผิงอันแผ่นนี้ กระดาษยันต์ได้มาจากอู๋ ซวงเจี้ยงตอนอยู่บนเรือราตรี ตอนนั้นอู๋ซวงเจี้ยงมอบ “ยันต์เขียว
อัญเชิญเทพ” ที่มีมูลค่าควรเมืองให้กับชุยตงซานและเจียงช่างเจิน รวมแล้วสี่แผ่น มันเคยเป็ นยันต์ที่ฝ่ ายของลัทธิเต๋อย่างสานักโองการ เทพในใต้หล้าไพศาลใช ้ ‘อัญเชิญเจ้าลัทธิแห่งป๋ ายอวี่จิง’ มา โดยเฉพาะ ระดับความล้าค่าจะ มากเพียงใด แค่คิดก็พอจะรู ้ได้ แต่ วิธีการวาดยันต์ชุยตงซานกลับนามาจากฝูลู่อวี่เสวียนชื่อว่า “ยันต์ลา แดง” แค่ต้องให้คนสองคนถือยันต์ไว้คนละแผ่น แต่หากทั้งสองฝ่ าย อยู่ห่างกันมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นหากต้องข้ามทวีป ก็จะเหมือน น้าหมึกที่เจือจาง ตัวอักษรที่เขียนก็จะพร่าเลื่อนอย่างมาก นอกจากนี้ “จดหมายทางบ้าน” ประเภทนี้ ระหว่างคนที่ส่งจดหมายกับคนที่รับ จดหมายยังจะมีความล่าช ้าอยู่ไม่น้อย ส่วนตัวอักษรที่ปรากฏอยู่บน ยันต์นี้ก็เป็ น “ยันต์ผีวาด” ที่ชุยตงซานคิดค้นขึ้นมาด้วยตัวเอง มี เพียงเฉินผิงอันที่เคยเห็นตาราฉบับนั้น ดังนั้นต่อให้ยันต์แผ่นนี้ตกอยู่ ในมือของคนอื่นก็จะเหมือนการอ่าน “ตาราสวรรค์ อยู่ดี
เฉินผิงอันเก็บยันต์แผ่นนั้นมา ลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “เสี่ยวโม่ ข้าต้อง กลับไปที่ภูเขาเซียนตูรอบหนึ่งแล้ว ต้องไปพบผู้อาวุโสคนหนึ่ง เพราะ ต้องรีบเดินทางจึงต้องใช ้ยันต์สามภูเขา เจ้ากลับไปรอข้าที่ภูเขาลั่ว พั่วก่อนแล้วกัน”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ออกมาจากหอสยบปี ศาจด้วยกัน ชิงถึงก็ สังเกตเห็นเบาะแสแล้วว่าเฉินผิงอันถือยันต์สามภูเขาออกเดิน ทางไกลข้ามน้าข้ามภูเขา ไม่ต้องเผาผลาญบุญกุศลบนร่างของ ตัวเอง มันคือยันต์สามภูเขาที่มาจาก “มหัศจรรย์ที่แท้จริงตาราสี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!