กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา! นิยาย บท 971

พวกเขานั่งอยู่บนราวรั้วของสะพานโค้งเหมือนในอดีต

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินการคาดเดาที่น่าเหลือเชื่อ อย่างหนึ่งมา บอกว่าโลกที่พวกเราอาศัยอยู่ใบนี้ อันที่จริงเป็ นวงโคจร ที่เกิดขึ้นซ้าแล้วซ้าเล่านับครั้งไม่ถ้วน อีกทั้งเป็ นการเกิดซ้าโดยที่ไม่มี การเปลี่ยนแปลงใดๆ”

“สิ่งมีชีวิตและสิ่งที่ตายแล้วทั้งหมดล้วนอยู่ในหายนะ หายนะเกิด จากฟ้ าดิน หายนะหล่นลงฟ้ าดินดับสูญ จากนั้นก็เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง เป็ นวงโคจรซ้าไปซ้ามา ไม่ต่างกันแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ว่าเกี่ยวกับ ช่วงเวลาที่จะเกิดหายนะที่ว่านี้มีคากล่าวที่ต่างกันออกไป บ้างก็บอก ว่าสามหมื่นปี บ้างก็บอกว่าหนึ่งแสนปี หรืออาจถึงขั้นนานยิ่งกว่านั้น เป็ นเหตุให้โลกยุคหลังมีคากล่าวที่ว่า “ยากจะข้ามผ่านหายนะไปได้” เกิดขึ้น ปราชญ์ผู้ล่วงลับเคยพูดไว้แล้วแต่กลับมองไม่ออกก็เท่านั้น”

“เป็ นแบบนี้จริงหรือ?”

นางฟังคาพูดของเฉินผิงอันเงียบๆ รอกระทั่งฝ่ ายหลังเอ่ยถาม นางถึงได้ยิ้มบางๆเอ่ยว่า “ความคิดไม่เลว แปลกใหม่น่าสนใจ แต่ว่า ออกนอกเรื่องไปหมื่นลี้ ผิดประเด็นไปไกลเลย”

เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ก็ดีแล้ว””

หาไม่แล้วคาพูดและการกระทาของคนคนหนึ่ง เส้นทางและวิถีวง โคจรในชีวิตคนใหญ่จนถึงการโคจรของดวงดาวในนภากาศอันก ว้างใหญ่ไพศาลนอกฟ้ า เล็กจนถึงการงอกงามและแห้งเหี่ยวโรยรา ของพืชหญ้าบนพื้นดิน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่วิถีการโคจรของเกล็ดหิมะ ทุกเกล็ดที่หล่นลงมาบนพื้น ก็ล้วนมีจานวนที่แน่นอน ถ้าอย่างนั้นคา ว่าชาตินี้เรือนกาย นี้จะนับเป็ นอะไรได้

นางยิ้มถาม “เพราะเนื่องจากคากล่าวที่ว่า ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไร ้ ความผิด’ กับ ‘ชะตาคือฟ้ าลิขิต” ถึงเกิดการคาดเดาเช่นนี้หรือ?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินไปบนราวรั้ว ออกหมัดช ้าๆ ยิ้มเอ่ยว่า “ตีตนไปก่อนไข้ ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย”

หยุดเดินแล้ว เฉินผิงอันมองไปสุดสายตาก็ยังไม่เห็นดวงดาว นอกฟ้ าแม้แต่ดวงเดียว

มีเพียงสะพานยาวสีทองใต้ฝ่ าเท้าที่อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

ดูเหมือนนางจะมองออกถึงความเสียดายในใจของเฉินผิงอัน จึง โบกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ พริบตานั้นในการมองเห็นของเฉินผิงอัน ก็มีดวงดาวพร่างพราวเหมือนเม็ดหมากที่กระจายตัวอยู่ เป็ น ทัศนียภาพที่ยิ่งใหญ่งดงามนัก

ดวงดาวมากมายจับกลุ่มรวมตัวกันอย่างแน่นหนา เส้นแสง เหล่านั้นรวมกันกลายเป็ นแม่น้ายาวที่พร่างพราวเส้นหนึ่งเหมือนแสง

กระบี่ที่ถูกลากยาว และยังมีดวงดาวอีกมากมายที่กระจุกรวมกัน เหมือนต าหนักงามวิจิตรหลังแล้วหลังเล่า

เฉินผิงอันเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนถามอย่างใคร่รู ้“การโคจร ชะตาบู๊ในใต้หล้า ดูเหมือนว่าทั้งสามลัทธิล้วนไม่เข้าไปควบคุม เพราะ ควบคุมได้ยาก ลงมือออกคาสั่งห้ามในเรื่องนี้มีแต่จะเปลืองแรงเปล่า หรือเป็ นเพราะว่ามิอาจควบคุมได้ เป็ นเหตุให้บรรพจารย์สามลัทธิมี ข้อตกลงร่วมกันมาแต่แรกแล้วจึงตัดหางปล่อยวัด รอดูการ เปลี่ยนแปลงไปเงียบๆเท่านั้น?”

นางย้อนถาม “นายท่านเคยไปเยือนยอดเขาที่ประหลาดแห่งหนึ่ง มาแล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในใจได้ทันที ถามอย่างสงสัยว่า “หรือว่า ภูเขาลูกนี้ไม่ได้อยู่บนพื้น? แต่อยู่นอกฟ้ า?”

“ตะวันจันทรานอกฟ้ ามีมากมายนับไม่ถ้วน ทุกคนล้วนมีส่วนใน ถ้าสวรรค์และพื้นที่มงคล แต่ดวงดาวบางดวงที่มีความหมายพิเศษ บางอย่างกลับเป็ นข้อยกเว้น หากปริแตกก็จะไม่มีอีกแล้ว ในศึกเดิน ขึ้นฟ้ าของปีนั้น “จวนและตาหนัก” ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ก็เคยถูก ทาลายไปเยอะมาก แต่ก็มีบางส่วนที่สามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้ เพราะว่าตอนนั้นมรรคาจารย์เต๋ากับอาจารย์ซานซานจิ่วโหวที่เคย เป็ นผู้สร ้างยันต์ก็เคยมีการอนุมานอย่างละเอียดมาก่อนครั้งหนึ่ง ส่วน ไหนที่จาเป็ นต้องเก็บเอาไว้ล้วนมีข้อพิถีพิถันทั้งนั้น”

ระหว่างที่พูดนางก็ยิ้มพลางยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาชี้ไปยังพื้นที่ ว่างเปล่าบางแห่งไกลๆ

มองตามการชี้ของนางไป เฉินผิงอันคล้ายได้รับมอบ ‘เนตร สวรรค์” ดั่งว่าไร ้ขอบเขตสิ้นสุดของลัทธิพุทธ เป็ นเหตุให้ทันทีที่มอง ไปเขาสามารถมองเห็นดวงดาวดวงหนึ่งที่อันที่จริงไม่ได้แปลกใหม่ ส าหรับเขา

ในการมองเห็นของบนโลกมนุษย์ คือดวงดาวสีทองในกลุ่มของ ห้าธาตุ ทุกครั้งที่ฟ้ าสว่างจะมีเพียงดาวดวงนี้ดวงเดียวที่สว่างไสว คล้ายกับว่าหนึ่งดวงดาวขับไล่หมู่ดาว เป็ นเหตุให้มีชื่อว่าฉางเกิง หรือไม่ก็ฉี่หมิง จากบันทึกใน “ต าราเทียนกวาน” หากดาวโบราณ ฉางเกิงคลาดเคลื่อนออกจากวิถีของการโคจรก็จะเกิดการ ‘เปลี่ยน ฟ้ า” หมายความว่าสงครามในใต้หล้าก าลังจะก่อเกิด กอง โหราศาสตร ์ของราชวงศ์โลกมนุษย์จะต้องจัดหา “เทียนซือ” ที่ เชี่ยวชาญการมองปรากฏการณ์ดวงดาวให้มารับผิดชอบเฝ้ ามอง ตาแหน่งและการเคลื่อนย้ายของดาวโบราณดวงนี้ตามช่วงอากาศ และช่วงเวลาโดยเฉพาะ

“ปฐมบรรพบุรุษสานักการทหารที่จุดจบน่าสงสารคนนั้น ใน ระดับใหญ่แล้วเขายังเคยบุกเบิกเส้นทางการเดินขึ้นสวรรค์เส้นหนึ่ง ในการเรียนวรยุทธ เพียงแต่ว่าเดินไปได้ครึ่งทางก็ยังไม่อาจชักน าฟ้ า ดินได้อย่างแท้จริง หากว่าท าส าเร็จ การด ารงอยู่ของตัวเขาเองก็จะ เท่ากับหอบินทะยานแห่งที่สามแล้ว คุณูปการครั้งนี้ โลกมนุษย์จาต้อง

ยอมรับ ถึงได้มีข้อตกลงหมื่นปีที่บรรพจารย์สามลัทธิทาร่วมกับเขา เพียงแต่ว่าถูกเก็บไว้เป็ นความลับ ไม่มีการจดลงบันทึก ทุกวันนี้จากัด เวลาหมื่นปีกาลังจะมาถึง กองโหราศาสตร ์น้อยใหญ่ในโลกมนุษย์จึง มีงานให้ต้องท ากันแล้ว”

คาพูดของนางแฝงการหยอกล้อ สองมือตบราวรั้วเบาๆ เอ่ยเนิบ ช ้าว่า “ดังนั้นหากย้อนไปถึงต้นกาเนิด พูดกันในความหมายที่ เข้มงวด ความต่างระหว่างวรยุทธและเวทคาถาไม่ได้มีการแบ่งแยก กันอย่างชัดเจน เพราะเป็ นต้นก าเนิดเดียวกันแต่ไหลแยกกันไปคนละ กระแส มองดูเหมือนมีความสัมพันธ ์ที่เป็ นดั่งน้าบ่อไม่ยุ่งกับน้าคลอง สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังคงเกิดมาจากต้นกาเนิดเดียวกัน นี่คือ เหตุผลที่ว่าทาไมปีนั้นทั้งๆ ที่นายท่านคือผู้ฝึ กยุทธเต็มตัว แต่กลับ สามารถฝึกวิชายันต์ได้ เป็ นเพราะโค่วหมิงที่มองเห็นในเรื่องนี้ และ เมื่อผ่านการปรับปรุงให้ดีขึ้นจากเจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ ายอวี้จิงท่านนี้ จึงเหมาะกับการให้ผู้ฝึกยุทธฝึกตน ก็เหมือนการเล่นแง่ที่จาเป็ นต้อง เดินผ่านประตูข้างเข้าไปในเรือนหลังใหญ่ แล้วก็เป็ นเหตุผลที่ว่า ท าไมผู้ฝึกยุทธเต็มตัวของภูเขาผูซานของใบถงทวีปถึงสามารถควบ ฝึ กวิชาตระกูลเซียนได้ การที่มิอาจขยับขยายต่อไปได้เป็ นเพราะ ธรณีประตูสูงเกินไป มีข้อเรียกร ้องต่อคุณสมบัติค่อนข้างสูง ค าว่าผู้ ฝึ กตนใหญ่ ส่วนใหญ่ก็มักจะหมกมุ่นอยู่กับการพิสูจน์ความเป็ น อมตะไม่เสื่อมสลาย จาเป็ นต้องมีจิตใจจดจ่อมุ่งมั่น ยิ่งตาแหน่งสูง เท่าไรก็ยิ่งจาเป็ นต้องตัดของนอกกายทิ้งเท่านั้น แน่นอนว่าไม่มีความ

จาเป็ นที่จะต้องเรียนวรยุทธ นานวันเข้าจึงกลายมาเป็ นเหมือนซี่โครง ไก่”

“แต่ในความเป็ นจริงแล้ว เส้นทางการเรียนวรยุทธที่อยู่ใต้ฝ่ าเท้า ของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวต่างหากถึงจะเป็ นเส้นทางที่มีความหวังว่ากาย เนื้อจะกลายเป็ นเทพ จิตวิญญาณที่แท้จริงไม่เสื่อมสลายได้มากที่สุด นี่ก็ออกจะยากสักหน่อยแล้ว ต้องเลื่อนเป็ นขอบเขตสิบเอ็ดภายใน เวลาสองสามร้อยปี ส าหรับคนในยุคปัจจุบันแล้ว หากว่าพอจะมี คุณสมบัติด้านการฝึกตนอยู่บ้าง ในเมื่อสามารถเดินทางลัด เดินไป บนทางกว้างที่ราบเรียบได้ ไยต้องเสี่ยงอันตรายเดินไปบนทางเล็กไส้ แกะที่เป็ นทางหัวขาดด้วยเล่า คนที่สามารถมองเรื่องนี้ได้อย่างทะลุปรุ โปร่ง ลู่เฉินต้องถือว่าเป็ นคนหนึ่งในนั้น ดังนั้นหากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ เจ้าลัทธิลู่ท่านนี้ นอกจากเจินเหรินกระดูกขาวแล้วจะต้องยังมีร่างแยก ที่ซ่อนไว้อีกร่างหนึ่งซึ่งคอยแอบฝึกวรยุทธ มาโดยตลอด การที่เขา ไปหาซินขู่ที่ยอดเขารุ่นเยว่ อันที่จริงก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่ แสดงออกภายนอก ไม่แน่ว่าคุณสมบัติในการเรียนวรยุทธของเจียง จ้าวหมอเจ้าหอจือขี่จากห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ ายอวี้จิง ก็ยังสู้ลู่ เฉินไม่ได้ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด”

เฉินผิงอันยิ้มจนตาหยี “ที่แท้ลู่เฉินก็เรียนวรยุทธเหมือนกันหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยน่ะสิ

บนโต๊ะเหล้าที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ของตัวเมือง เฉินผิงอันคล้าย คนที่เหม่อลอยไปไกลแสนไกล แต่ก็ไม่ขัดต่อการที่เขาจะพูดคุยกับ กลุ่มของฉินปู้ อี๋ได้อย่างเป็ นปกติ

เฉินผิงอันถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ผู้อาวุโสฉินกับสายของเซียน กระบี่ซีซานของศิษย์พี่ค่อนข้างเข้าใจข้ามากเลยสินะ?”

บทที่ 971.1 กลิ้งลูกหิมะ 1

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!