ค าโบราณกล่าวไว้ว่าการอยู่ว่างคือความผ่อนคลาย มองเป็ น ความสุขอย่างหนึ่งได้
ในเมื่ออยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทา การอยู่ว่างคือการเสพสุขอย่างหนึ่ง หลิวเสี้ยนหยางจึงพาแม่นางหน้ากลมที่ใช ้นามแฝงว่าอวี๋เชี่ยนเยว่ไป เที่ยวเยือนทางทิศเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปด้วยกันมารอบหนึ่ง อย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ พวกเขาผ่านเส้นทางชายฝั่งทะเลที่ ยาวไกล ทุกวันหลิวเสี้ยนหยางจะต้องออกทะเล พกหม้อชามกะละมัง ไห เอาอาหารสดในทะเลมาตุ๋นรวมกัน กินจนหลิวเสี้ยนหยางลืมไป แล้วว่ารสชาติของอาหารในแม่น้าลาคลองเป็ นอย่างไร ทุกครั้งที่หลิว เสี้ยนหยางหยุดพักงีบหลับ แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ ายก็จะนั่ง เงียบๆ อยู่ด้านข้างเขา
รอกระทั่งหลิวเสี้ยนหยางกลับมาที่สานักแล้วพบว่าช่างหร่วนยัง ปิดประตูหลอมกระบี่ศิษย์น้องเซี่ยหลิงก็ปิดด่านอย่างจริงจัง ได้ยินว่า สามารถหลอมสมบัติหนักที่มีเงินก็หาซื้อไม่ได้ชิ้นนั้นได้อย่าง สมบูรณ์แล้ว
ของชิ้นนี้ก็คือสมบัติที่เจ้าลัทธิสามแห่งป๋ ายอวี้จิงมอบให้เซี่ยหลิง ในปีนั้น คือเจดีย์แก้วใสเจ็ดสีหลังหนึ่ง ยาวครึ่งฉื่อ มีเก้าชั้น สี่ด้าน ของทุกชั้นแขวนกรอบป้ ายเอาไว้ จานวนรวมจึงมีถึงสามสิบหกป้ าย
หลิวเสี้ยนหยางอิจฉามาก อดไม่ไหวทอดถอนใจว่า “มีบรรพ บุรุษที่ดีก็ช่างดีจริงๆ”
เซอเยว่ไม่รับคา นางเอาแต่คิดถึงเป็ ดที่อยู่ริมลาคลองหลงซวี ไม่ รู ้ว่าพวกมันจะโตจนอยู่รวมกันเป็ นฝูงแล้วหรือยัง
หลิวเสี้ยนหยางยังพูดอย่างคับแค้นตัวเองไม่หาย บอกว่า ความสามารถในการมาเกิดใหม่สู้ศิษย์น้องเซี่ยไม่ได้จริงๆ ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้อย่าว่าแต่เป็ นขอบเขตเซียนเหรินเลย คว้า ขอบเขตบินทะยานมาก็ยังไม่ใช่ปัญหา
ต่งกู่ที่อยู่ข้างกันเคยชินกับนิสัยนี้ของเขามานานแล้ว ถึงอย่างไร ก็เป็ นค าพูดของคนกันเองที่ปิดประตูคุยกัน ขายหน้าก็ไม่ขายหน้าไป ถึงคนนอก
แล้วนับประสาอะไรกับที่แม้หลิวเสี้ยนหยางจะพูดด้วยน้าเสียง เปรี้ยวฝาด แต่ก็ถือว่าเป็ นเรื่องจริง บนเส้นทางการฝึ กตน ศิษย์ น้องเซี่ยมีวาสนาที่ดีเยี่ยมจริงๆ ก็เหมือนอย่างที่หลิวเสี้ยนหยางพูด นี่ ต้องยกคุณความชอบให้บนทาเนียบของตระกูลเซี่ยตรอกเถาเย่ที่เคย มีบุคคลยิ่งใหญ่ปรากฏตัวมาก่อน ซึ่งก็คือเทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุ รุทวีป คราวก่อนเซี่ยสือกลับบ้านเกิด เจ้าเด็กเซี่ยหลิงผู้นี้ก็เท่ากับว่า มีบรรพจารย์ที่มีชีวิตเดินออกมาจากทาเนียบวงศ์สกุลเพิ่มมาคนหนึ่ง ตามคากล่าวของลู่เฉินในเวลานั้น เจดีย์เล็กหลังนี้สามารถสยบ ก าราบภูตผีปีศาจ จิตหยินวิญญาณร ้ายที่มีระดับต่ากว่าห้าขอบเขต บนทั้งหมดบนโลกได้ ตอนนั้นลู่เฉินบอกว่าของชิ้นนี้ “พอจะ
กล้อมแกล้มถือว่าเป็ น” อาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นเซี่ยหลิงเชื่อ หมดใจไม่กังขา บรรพจารย์เซี่ยสือท าท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป สุดท้ายก็ ยังไม่ได้เปิดเผยความลับสวรรค์รอกระทั่งเด็กหนุ่มที่ปีนั้นถูกลู่เฉินตั้ง ฉายาให้ว่า “เจ้าคิ้วยาว” ค่อยๆ อายุมากขึ้น ขอบเขตในการฝึกตน สูงขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยหลิงก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าเจดีย์จิ๋วที่ ไม่อาจหลอมเป็ นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้เสียทีชิ้นนี้ เดิมทีก็คือสมบัติ ล้าค่าที่เป็ นอาวุธเซียนอย่างสมชื่อชิ้นหนึ่ง
ก า ร ที่เ ซี่ย ห ลิง ส า ม า ร ถ ค ว บ ฝึ ก วิช า ยัน ต์แ ล ะ ค่ า ย ก ล นอกเหนือจากการเป็ นผู้ฝึกกระบี่ได้ นี่ก็เพราะเขาตั้งใจศึกษาเจดีย์ จิ๋วหลังนี้
เคยมีคนปรายตามองครั้งหนึ่งแล้ววิจารณ์สมบัติหนักชิ้นนี้ด้วย ถ้อยคากระชับสั้นเรียบง่าย แค่ประโยคเดียวเท่านั้น ของชิ้นนี้ก็คือ เส้นสายมรรคาที่สมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่ง
ความนัยในคาพูดของนางก็คือศิษย์น้องเซี่ยหลิงอาศัยแค่ของ ชิ้นนี้ นอกจากจะค่อยๆเดินขึ้นสู่ที่สูงโดยไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนแล้ว ยิ่ง สามารถใช ้มันมาเปิดสานักก่อตั้งพรรคได้เลย
คุยเล่นกับต่งกู่อีกสองสามประโยค ในที่สุดหลิวเสี้ยนหยางก็ตัด ใจพ่นหญ้าหวานที่อยู่ในปากทิ้งไปได้ ลุกขึ้นยืน บอกให้ศิษย์พี่ต่ งไปบอกกับศิษย์พี่หญิงสวีสักคาว่าผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามให้ไปกิน ข้าวด้วยกันที่ภูเขาบรรพบุรุษ เขาที่เป็ นเจ้าสานักจะให้เกียรติแก่ นักปราชญ์ราชบัณฑิต เข้าครัวด้วยตัวเอง
ในฐานะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของสานักกระบี่หลงเฉวียน ต่งกู่ เป็ นขอบเขตก่อกาเนิด แต่เนื่องจากเขามีชาติกาเนิดมาจากภูตเผ่า ปีศาจ อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ดังนั้นการที่หลิวเสี้ยนหยางได้เป็ น เจ้าสานักรุ่นที่สอง ส่วนลึกในใจของเขาที่เป็ นศิษย์พี่ใหญ่กลับรู ้สึก โล่งใจ
ตอนนี้สวีเสี่ยวเฉียวยังเป็ นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง เพียงแต่ ติดขัดที่คุณสมบัติในการฝึกตน หากไม่ผิดไปจากที่คาด ชั่วชีวิตนี้ นางน่าจะหยุดอยู่แค่ที่ขอบเขตก่อกาเนิดแล้ว
สวีเสี่ยวเฉียวเชื่อในคาวิจารณ์ที่คล้ายกับเป็ นข้อสรุปแบบตอก ปิดฝาโลงนี้อย่างไม่คลางแคลง แต่กลับไม่ถือว่าผิดหวังสักเท่าไร
ถึงอย่างไรในบรรดาคนร่วมสานักก็มีศิษย์น้องที่เป็ นผู้มี พรสวรรค์ซึ่งผลสาเร็จบนมหามรรคาจะต้องสูงมากอย่างหลิวเสี้ยนห ยางและเซี่ยหลิงสองคนแล้ว บวกกับที่หร่วนฉงผู้เป็ นอาจารย์ไม่เคย เรียกร ้องอะไรในด้านขอบเขตของลูกศิษย์ ชีวิตการฝึกตนในส านัก กระบี่หลงเฉวียนของสวีเสี่ยวเฉียวจึงทั้งผ่อนคลายทั้งเพียงพอแล้ว
เพียงแต่ว่าเจ้าหลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ วันๆ คิดแต่อยากจะให้ต่งกู่ กับสวีเสี่ยวเฉียวที่พบหน้าเรียกเขาว่าเจ้าสานัก แต่ต่งกู่กับสวีเสี่ยว เฉียวรู ้ใจกันดียิ่ง ต่อให้เจ้าจะบอกอย่างโจ่งแจ้งบอกเป็ นนัยแค่ไหนก็ ฝันไปเถอะ
ชายหญิงสองคนที่ตอนนี้ยังไม่ใช่คู่บาเพ็ญเพียรกัน ระหว่างที่จับ มือกันบินทะยานไปเซอเยว่ที่รู ้สึกตัวช ้าถามขึ้นว่า “เซี่ยหลิงผู้นั้น ก าลังหลอมอะไรอยู่นะ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “เจดีย์จิ๋วที่มีระดับเป็ นอาวุธเซียนชิ้น หนึ่ง”
เขาเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “เป็ นเจ้าคนบางคนที่ถูกข้าคว่า แผงเป็ นผู้มอบให้กับศิษย์น้องเซี่ย”
เซอเยว่หันไปเหลือบมองภูเขาลูกหนึ่ง พยักหน้าเอ่ย “มีค่ามาก เลยล่ะ”
หลิวเสี้ยนหยางเริ่มพูดอย่างอิจฉาอีกครั้ง “ผู้ฝึกกระบี่อย่างเราๆ ของนอกกายประเภทนี้จะนับเป็ นอะไรได้….มารดามันเถอะ แน่นอนว่า ต้องนับได้สิ! ขอแค่ศิษย์น้องเซี่ยยินดีตัดใจมอบของรักให้ผู้อื่น ข้าจะ โขกหัวให้เขาหลายๆ ทีเลย”
เซอเยว่ถามอย่างสงสัย “เจ้าต้องการอาวุธเชียนขนาดนี้เลย หรือ?”
ในสายตาของนาง หลิวเสี้ยนหยางคือผู้ฝึกกระบี่ประหลาดที่ไม่ ต้องการอาวุธเซียนอะไรที่สุดแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางอึ้งตะลึง “ทาไม? เจ้ามีหรือ?”
เซอเยว่พยักหน้า “ใต้หล้าเปลี่ยวร ้างมีขนบธรรมเนียมอย่างไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้สักหน่อย ในเมื่อออกจากบ้านมาแล้ว แน่นอนว่าต้อง พกของติดตัวมาด้วย ในกระเป๋ าข้าก็มีอยู่สี่ห้าชิ้น ในเมื่อเจ้าอยากได้ ขนาดนี้ก็เลือกสักสองชิ้นที่ถูกใจเอาไปหลอมไหมล่ะ?”
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกว้าง ยื่นมือมาตบข้างแก้มตัวเองเบาๆ “พูด อะไรน่ะ ข้าไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อย หน้าตาเหมือนคนที่ชอบกินข้าว นิ่ม (เปรียบเปรยถึงผู้ชายที่ไม่ทาการทางานเกาะผู้หญิง ให้ผู้หญิง เลี้ยง) ขนาดนั้นเลยหรือ?!”
เซอเยว่กลอกตามองบน
ไปถึงภูเขาบรรพบุรุษ หลิวเสี้ยนหยางก็ผูกผ้ากันเปื้อนที่เอวแล้ว เข้าครัวจริงๆ เซอเยว่ก็คอยช่วยอยู่ด้านข้างอย่างคุ้นเคย
หลิวเสี้ยนหยางพลันหันมาเอ่ยว่า “เชี่ยนเยว่อ่า ก่อนหน้านี้อาจ เป็ นเพราะข้าเอ่ยประโยคนั้นได้ไม่ชัดเจนพอ เฉินผิงอันแค่หน้า เหมือนคนชอบกินข้าวนิ่ม ข้าไม่เหมือน แต่ข้าใช่เลย”
เซอเยว่ใช ้ฝ่ ามือผ่าฟืน จากนั้นโยนไปใต้เตาไฟ เอ่ยอย่างไม่สบ อารมณ์ว่า “เลยเวลาก็ไม่นับแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กระบี่จงมา Sword of Coming กระบี่จงมา!