ธีรสิทธิ์ขมวดคิ้วมุ่น เขารู้สึกเหมือนถูกหลอก
ป้ายาตื่นแล้ว เธอเดินผ่านห้องนั่งเล่นเพื่อไปเตรียมอาหารเช้า
เมื่อเห็นว่ารินลดานั่งอยู่บนโซฟาคนเดียวในชุดนอน เธอยิ้มและถามว่า “เมื่อคืนนี้คุณนอนหลับสบายดีไหมคะ?”
เธอคิดว่าธีรสิทธิ์จะอยู่กับดวงเดือนตลอดทั้งคืน แต่ตอนกลางดึกเธอได้ยินเสียงบางอย่าง และเมื่อลุกขึ้นไปดูก็พบว่าธีรสิทธิ์กลับมานอนที่บ้านในห้องของเขา
นี่คือภรรยาที่แม่ของเขาเลือกให้ เธอจะต้องเป็นคนดีอย่างแน่นอน ป้ายาดูแลธีรสิทธิ์มาตั้งแต่เล็ก เธอรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็นเขาแต่งงานในที่สุด
น้ำเสียงและการแสดงออกของเธอมีความกระตือรือร้นและสนิทสนมมากยิ่งขึ้น
รินลดาฝืนยิ้ม “ฉันหลับสบายดีค่ะ”
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ เร็วเข้า ฉันจะเตรียมอาหารเช้าไว้ให้ พอลงมาก็จะได้ทานพอดี” ป้ายาพูดขณะเดินเข้าไปในห้องอาหารและเริ่มทำอาหารเช้า
รินลดาก้มมองชุดนอนของเธอและนึกถึงเสื้อผ้าของเธอที่ยังคงอยู่ในห้องของเขา
เขาน่าจะแต่งตัวเสร็จแล้วมั้ง?
เธอลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องนอน เมื่อถึงหน้าห้อง เธอเคาะประตู
ไม่มีเสียงตอบรับ
เธอเคาะอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
เมื่อไม่มีใครตอบ เธอจึงลองผลักประตูดู ประตูไม่ได้ล็อคจากด้านใน และมันก็เปิดออกทันทีที่เธอผลัก
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก เธอสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นยะเยือกราวกับฤดูหนาวในเดือนธันวาคม ลมหนาวพัดผ่านจนร่างเธอสั่นสะท้าน
ธีรสิทธิ์นั่งอยู่ที่ขอบเตียง จ้องดูกระดาษแผ่นหนึ่งในมือด้วยสายตาเย็นชา
กระดาษนั้น-
รินลดามองเห็นสิ่งที่เขาถืออยู่ในมืออย่างชัดเจน เธอเห็นข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ความโมโหและอับอายที่ความเป็นส่วนตัวของเธอถูกบุกรุกพุ่งปรี๊ด เธอวิ่งเข้าไปในห้องและกระชากกระดาษแผ่นนั้นออกจากมือเขา “คุณทำอะไร? มารื้อข้าวของของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตแบบนี้ได้ยังไง? รู้จักบ้างไหมความเป็นส่วนตัวน่ะ?”
ฮึ!
ธีรสิทธิ์หัวเราะเยาะ “ความเป็นส่วนตัวเหรอ?”
รอยยิ้มจอมปลอมของเขาดูน่ากลัวเป็นพิเศษ “คุณแต่งงานกับผมทั้ง ๆ ที่กำลังอุ้มท้องอยู่ คุณยังจะกล้ามาถามถึงความเป็นส่วนตัวอีกเหรอ?”
“ฉัน—ฉัน” รินลดาต้องการอธิบาย แต่เธอไม่สามารถหาคำอธิบายที่เหมาะสมได้
ธีรสิทธิ์ยืนขึ้น เขาย่างเท้าก้าวเข้ามาด้วยจังหวะที่ไม่รีบเร่งแต่ก็ไม่ช้าจนเกินไป มันเป็นจังหวะการก้าวเดินที่สร้างความกดดันให้เธออย่างมาก ใบหน้าที่คมเข้มอยู่แล้วยิ่งดูเคร่งขรึมมากขึ้น “บอกผมสิ คุณวางแผนอะไรไว้?”
เธอตั้งใจจะให้เขาเลี้ยงลูกของคนอื่นโดยไม่รู้ตัว และปล่อยให้เด็กนั่นกลายมาเป็นหลานชายคนโตของครอบครัววิสุทธิภักดิ์งั้นเหรอ?
หรือข้อเสนอก่อนหน้านี้จะเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง?
ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาขุ่นมัวขึ้นเรื่อย ๆ
รินลดาเม้มริมฝีปาก ร่างกายของเธอสั่นด้วยความกลัว เธอยังคงเดินถอยหลัง ปกป้องลูกในท้องด้วยสองมือของเธอ กลัวเหลือเกินว่าเขาจะทำร้ายเด็กที่อยู่ในท้อง “ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะปกปิดความจริง ฉันต้องการทำตามข้อตกลงของเราจริง ๆ เพราะฉะนั้นฉันก็เลยไม่ได้บอกคุณเรื่องนี้ ฉันไม่ได้มีแผนการอะไรนะคะ”
น้ำเสียงของธีรสิทธิ์น่ากลัวและชวนขนลุก “จริงเหรอ?”
รินลดายังคงใช้มือปกป้องลูกในท้องขณะที่เธอก้าวถอยหลังอย่างช้า ๆ “จริงค่ะ ใครจะไปกล้าหลอกคุณ? ถ้าฉันคิดร้ายกับคุณ ฉันก็คงจบไม่สวย ถ้าฉันหลอกคุณจริง ๆ คุณก็คงมีวิธีการมากมายที่จะทำให้ฉันตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุดถูกไหมคะ?”
แม้ว่ารินลดาจะพยายามกระถดถอยหลังอย่างช้า ๆ แต่ธีรสิทธิ์ก็รู้ เขาเหลือบมองมือที่วางทับอยู่ช่วงท้องเพื่อปกป้องชีวิตน้อย ๆ ในนั้น
เขาเคลื่อนสายตามาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเธอ “ทำไมคุณไม่บอกตั้งแต่แรก”
ธีรสิทธิ์ไม่ยอมเชื่อเธอง่าย ๆ
มือของเธอที่วางทับท้องกำแน่น ถึงแม้ว่าการท้องครั้งนี้จะเป็นเรื่องที่เธอไม่ได้ตั้งใจ แต่สายเลือดในท้องก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของเธอ เธอสูญเสียน้องชายคนหนึ่งของเธอไปแล้ว เธอหวังเพียงว่าจะได้ให้กำเนิดเด็กคนนี้อย่างปลอดภัย
หลังจากนี้สายสัมพันธ์อันอบอุ่นอาจจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เราสามคน แม่ เธอ และลูกน้อย
เมื่อคิดไปถึงคืนนั้น เธออดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเหงื่อเย็นชื้นเต็มฝ่ามือ “ฉ...ฉันเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เอง”
เธอไม่กล้าแม้แต่จะบอกธีรสิทธิ์ว่าเธอไม่ได้เก็บผลการตรวจของโรงพยาบาลไว้ที่บ้านก็เพราะกลัวว่ากานดาจะมาเจอเข้า
เธอไม่ทันคิดว่ามันจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่นี่
จนทำให้ธีนสิทธิ์คิดว่าเธอแอบวางแผนอะไรเอาไว้
เธออายุแค่สิบแปดปี นี่เธอ—
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: กว่าจะรู้ว่ารัก