อวิ๋นเซียวกลับเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากบอกกับภรรยาได้เช่นไร เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วใช่ว่าเขาอยากจากนางไปเป็นทหารเสียเมื่อไหร่ เห็นกันอยู่ว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย
“ภรรยา พวกเจ้ากินข้าวกันไปก่อน เมื่อสักครู่ข้าได้ยินเสียงสัญญาณที่หัวหน้าหมู่บ้านเรียกรวมชาวบ้าน ข้าในฐานะตัวแทนครอบครัวจะต้องไปเข้าร่วมประชุม เจ้าพาน้อง ๆ กินข้าวไปก่อนไม่ต้องรอข้า”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ท่านพี่รู้หรือไม่”
“น่าจะเรื่องเกณฑ์ชาวบ้านไปเป็นทหาร ข้าเองก็ไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ เอาไว้ไปถึงก็คงจะรู้”
“เจ้าค่ะ”
ที่ลานหน้าศาลพรรพชนของหมู่บ้าน ตอนนี้แต่ละครอบครัวส่งตัวแทนมาแล้วครอบครัวละ 1 คน เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านเห็นว่ามากันครบทุกคนแล้วก็เริ่มเอ่ยปากบอกสาเหตุที่เขาเรียกทุกครอบครัวมาในวันนี้
“เอาล่ะ ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ ข้ามีเรื่องอยู่สองเรื่องที่จะแจ้งให้พวกเจ้าได้รับรู้กันเอาไว้และจะต้องทำตามไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ข้าเองก็หนักใจเช่นกันแต่ถ้าหากพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งไม่ทำตามแล้วครอบครัวของเจ้าจะมีความผิดร้ายแรง”
“มันเรื่องอันใดกันแน่ท่านหัวหน้าหมู่บ้านรีบ ๆ พูดมาเถอะ พวกข้าเองก็ร้อนใจ”
“เอาล่ะ ๆ เรื่องแรก ทุกครอบครัวจะต้องส่งคนในครอบครัวไปเป็นทหาร 1คน อายุตั้งแต่ 15 หนาวขึ้นไป 1ครอบครัว 1 คน เรื่องที่สอง ยกเลิกการจ่ายเงิน 10 ตำลึงทองทดแทนการเข้าร่วมกองทัพ”
“เป็นแบบนี้ก็แย่แล้วน่ะสิ จะทำเช่นไรดี” ตอนนี้ชาวบ้านเริ่มส่งเสียงพูดคุยกันเสียงดังไปทั่วทั้งลานหน้าศาลบรรพชนแห่งนี้
“พวกเจ้ากลับไปปรึกษากันในครอบครัวให้ดี อีก 3 วันให้มาลงชื่อที่ข้าแล้วจะมีทหารมารับพวกเจ้าในอีก 2 วันถัดไป แยกย้ายกันได้”
ตอนนี้บ้านเหลียนเองก็กำลังปรึกษากันหลังจากที่เหลียนอี้ปิงกลับมาจากการเข้าร่วมการประชุม เขาได้นำเอาคำพูดของหัวหน้าหมู่บ้านมาบอกเล่าให้คนในบ้านฟัง
“ท่านพี่เช่นนี้ก็แย่สิเจ้าคะ เงินที่พวกเราเตรียมเอาไว้ตอนนี้ก็ใช่ไม่ได้เสียแล้ว เช่นนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ ไม่ว่าท่านหรือลูกอี้หลุนข้าก็ไม่เต็มใจจะให้ไปเป็นทหารนะเจ้าคะ” นางซ่งซื่อได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญ
“ท่านแม่อย่าร้องไห้ไปเลยขอรับ ให้ข้าไปเถอะ ท่านอยู่ทางนี้ก็มีน้องให้ข้าเพิ่ม อีกอย่างท่านน้าเขยก็กลับมาอยู่เสียที่นี่แล้วสองคนช่วยกันทำงานเป็นกำลังหลักของบ้าน ข้าคิดว่าคงไม่ลำบากมากขอรับ ส่วนตัวข้านั้นข้าจะดูแลรักษาตัวเองให้ดี อีกอย่างไม่ใช่ว่าน้องเขยก็ต้องไปเข้ากองทัพเช่นเดียวกันกับข้าหรือ ท่านอยู่ที่นี่จะได้ช่วยเหลือน้องสาวได้หากสามีนางไม่อยู่”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ มันไม่สามารถหลักเลี่ยงได้แล้ว เช่นนั้นแม่จะเตรียมอาหารแห้งให้เจ้านำติดตัวไปมากหน่อย”
“ขอบพระคุณขอรับท่านแม่”
ทางด้านอวิ๋นเซียวเมื่อกลับมาถึงบ้านจื้อโหยวไล่ให้เขาไปอาบน้ำจะได้มากินข้าว นางเหลือกับข้าวในส่วนของเขาเอาไว้ หลังจากที่อวิ๋นเซียวกินข้าวและนำถ้วยจานไปล้างเรียบร้อยแล้วเขาจึงบอกเล่าเรื่องที่ได้รับรู้มาในวันนี้ให้ภรรยาและน้องชายน้องสาวของเขาฟัง
“วันนี้หัวหน้าหมู่บ้านแจ้งว่าให้ทุกครอบครัวส่งตัวแทนเข้าร่วมกองทัพต่อ 1 คน นับตั้งผู้ที่มีอายุ 15 หนาวขึ้นไปและยกเลิกการจ่ายเงินทดแทนการไปเป็นทหาร ตอนนี้ไม่ว่าจะมีเงิน 10 ตำลึงทองหรือไม่ก็ไม่อาจหลีกหนีเรื่องในครั้งนี้ได้”
“เช่นนั้นก็คงต้องทำใจยอมรับใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“อืม คงเป็นเช่นนั้น”
“พี่ใหญ่ท่านไม่ต้องห่วงทางนี้พวกข้าจะดูแลพี่สะใภ้อย่างดี ท่านต้องปลอดภัยกลับมานะขอรับ”
“สถานการณ์รุนแรงหรือไม่เจ้าคะ”
“ตอนนี้ถือว่ายังไม่มีอะไรร้ายแรง ไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะไม่ได้ออกไปฟาดฟันกับศัตรูก็เป็นได้ ชาวบ้านเช่นพวกเราคงต้องไปเป็นกำลังเสริมเสียมากกว่า”
“ข้าก็ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะเจ้าค่ะ แล้วจะออกเดินทางเมื่อไหร่หรือเจ้าคะท่านพี่”
“อีก 3 วันจะต้องไปลงชื่อที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน และอีก 2 วันหลังจากนั้นเป็นวันออกเดินทาง”
"อืม เหลือเวลา 5 วันสินะ เช่นนั้นข้าจะเตรียมอาหารแห้งให้ท่านพี่นำติดตัวไปให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถหาได้ ส่วนเรื่องทางบ้านท่านพี่อย่าได้เป็นกังวลข้าจะดูแลน้อง ๆ เป็นอย่างดี"
“ข้ากลัวว่าป้าสะใภ้ใหญ่จะมารังแกพวกเจ้า”
“ข้าหาได้กลัวนางไม่ หากนางยังกล้าหน้าด้านมา ข้าเองก็กล้าที่จะไม่เกรงใจเจ้าค่ะ"
“เจ้าพาน้อง ๆ กลับบ้านเถอะ ข้าต้องไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านคนอื่นแล้ว ดูแลตัวเองดี ๆ และรอข้ากลับมานะ”
“เจ้าค่ะ นี่เจ้าค่ะ ถุงหอมไล่แมลงข้าทำเอาไว้ให้ท่านพี่พกติดตัวเองไว้”
“ขอบใจเจ้ามา เจ้าช่างแสนดี ข้าดีใจที่มีเจ้าเป็นภรรยา”
อวิ๋นเซียวไปรวมกลุ่มกับชาวบ้านคนอื่นและในกลุ่มก็มีเหลียนอี้หลุนอยู่ด้วย จากนั้นทหารที่เดินทางมารับเช็ครายชื่อเมื่อมากันครบแล้วจึงพาพวกเขาออกเดินทางไปยังเมืองชายแดนอันเป็นที่ตั้งของค่ายทหารในตอนนี้
การศึกยืดเยื้อมานาน ประชาชนมากมายล้วนได้รับความเดือดร้อนจากภัยสงครามในครั้งนี้ ชาวบ้านทุกคนออกมาจากหมู่บ้านก็หาได้มาตัวเปล่าทุกคนต่างนำอาวุธที่ตัวเองคิดว่าถนัดและใช้งานได้ง่ายนำติดตัวมาเพื่อใช้ป้องกันตัว
อวิ๋นเซียวนำธนูของเขามาด้วย นอกจากธนูแล้วยังมีมีดสั้นอีกด้าม ห่อผ้าทั้งสองห่อ เต็มไปด้วยความห่วงใยจากภรรยา ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือยาเขาจึงหวงแหนห่อผ้าของตนเองไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ด้วยเกรงว่าของสำคัญที่ภรรยาเตรียมเอาไว้ให้จะถูกผู้อื่นที่มีใจละโมบแย่งชิงเอาได้
หลังจากสามีออกเดินทางไปแล้วนางพาน้องชายน้องสาวเดินกลับเข้าไปในหมู่บ้าน ตอนนี้บรรยากาศในหมู่บ้านเงียบเหงาเป็นอย่างมากด้วยแต่ละครอบครัวล้วนเสียใจและไม่สบายใจที่ลูกหลานหรือสามีต้องไปเป็นทหาร หากโชคดีได้กลับมาก็แล้วไปเถอะ หากโชคร้ายไม่ได้กลับมาพวกเขาจะทำเช่นไร
เว่ยจื้อโหยวไม่มีเวลาโศกเศร้านาน นางเริ่มพลิกหน้าดินในพื้นที่ว่างหลังบ้าน นางจะปลูกผักและหาผลไม้มาปลูกตอนนี้นางต้องการเพียงแค่หาเงินให้ได้มาก ๆ เท่านั้นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นางอยากจะสร้างบ้านหลังใหม่และอยากส่งเสียให้น้อง ๆ ของนางและน้อง ๆ ของสามีได้เรียนหนังสือ ในเมื่อสามีไม่อยู่คอยปกป้องนางแล้วนางย่อมปกป้องตัวเอง
หลายวันมานี่นางมัวแต่วุ่นวายเตรียมของให้สามีจนลืมหลุมกับดักปลาที่นางขุดเอาไว้เมื่อหลายวันก่อนไปเสียสนิท เมื่อนึกขึ้นมาได้นางจึงชวนน้องทั้งสองไปดูหลุมดักปลาที่ขุดเอาไว้ หากว่ามีปลาอยู่นางจะนำไปขายเพื่อหาเงินเข้าบ้าน
หวังว่าชีวิตที่สองนี้นางจะมีความสุข มีเงินร่ำรวย ชาติที่แล้วนางไม่มีอะไรสักอย่าง เงิน ครอบครัว แถมยังตายเสียก่อนจะมีสามีอีกด้วย
มาชาตินี้ยังไม่ได้แอ้มสามีเลย จำเป็นจะต้องพลัดพรากจากกันเสียแล้ว พระเจ้าช่างกลั่นแกล้งนางเสียจริง ไหนล่ะพรวิเศษ ไหนล่ะมิติ แล้วไหนล่ะความโชคดี ไม่มีอะไรสักอย่าง
ไม่ใช่ว่าตามพลอตนิยายที่เคยอ่านมา คนที่ทะลุมิติมาก็ต้องมีอะไรติดตัวมาให้บ้างสิ นี่อะไรนางมีเพียงความสามารถในชาติที่แล้วและความรู้ติดมาเท่านั้น ส่วนร่างเดิมมีเพียงพละกำลังเท่านั้นที่ดีกว่าคนอื่น
“เฮ้อสวรรค์ช่างกลั่นแกล้งข้านัก ใช่ว่าข้าอยากจะตายแล้วเกิดใหม่เสียหน่อย ใครที่ส่งข้ามาที่นี่ช่างไร้ความรับผิดชอบสิ้นดี” เว่ยจื้อโหยวเดินไปบ่นไปจนน้องชายน้องสาวคิดว่าพี่สะใภ้คิดถึงพี่ใหญ่มากจนเลอะเลือน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลิขิตรักภรรยาตัวร้าย