ภาค 2 ตอนที่ 2 เกียรติของป๋ายลู่หลิน
เทียนหยางเอ่ยฝากฝังเรื่องที่น่าหนักใจ เห็นเจ้าเมืองเสวี่ยรับคำอย่างแข็งขันก็เบาใจขึ้นมาก
ทั้งสามคนจึงได้ออกเดินสำรวจดูความเรียบร้อยกันอีกพักใหญ่ก่อนที่เจ้าเมืองเสวี่ยจะขอตัวแยกออกไป เหลือเพียงโจวหยางอ๋องหวงเทียนหยางและพระชายาป๋ายอิ้งซื่อเท่านั้นที่ยังเดินสำรวจความเป็นอยู่ของราษฎรกันอยู่…
“พระชายาป๋ายๆ อาจูให้เป่าเปาเพค่าาา”
เสียงเด็กหญิงคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างสดใสพร้อมกับวิ่งหน้าตั้งนำสิ่งที่พูดถึงมายื่นให้ลู่หลินด้วยสีหน้าที่ดูยิ้มแย้มมีความสุขอย่างยิ่งทั้งยังดูคาดหวังให้ลู่หลินรับของไปกัดกินในทันทีเหมือนที่เด็กๆ อย่างตนชอบทำ
ด้วยความสูงที่ต่างกันมาก ก็ทำให้ลู่หลินต้องย่อกายคุกเข่าลงไปรับของฝากจากเด็กน้อยอย่างไม่อาจเลี่ยง แต่ก็นับเป็นภาพที่น่าชื่นใจ รับแล้วก็ลูบหัวเบาๆ แสดงอาการเอ็นดู ด้วยจำได้ว่าเด็กอาจูผู้นี้คือเด็กหญิงที่เกือบจะตกลงไปจากเรือหากไม่ได้องครักษ์เจิ้งช่วยไว้ผู้นั้นนั่นเอง
“อาจูนำเป่าเปามาจากที่ได้กัน เจ้าทำเองงั้นรึ? …"
“มิใช่หรอก อาจูยังเด็ก ทำอาหารไม่เป็น เป็นท่านแม่ของอาจูทำมาให้ต่างหาก”
เมื่อถูกถามความ เด็กสาวก็เจื้อยแจ้วตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี ท่าทางสดใสน่าเอ็นดูนัก ลู่หลินจึงพลอยพูดคุยตอบกลับไปด้วยความสดใสเช่นกัน ไม่นานจากการสนทนากับเด็กน้อยเพียงสองคนที่มีเทียนหยางยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ก็กลายเป็นมีชาวบ้านชาวเมืองมากมายมาห้อมล้อมร่วมพูดคุยด้วย
“พระชายาป๋ายกับท่านอ๋องพักอยู่บนเรือคับแคบลำบากหรือไม่ขอรับ ให้พวกเราช่วยสร้างจวนพวกท่านขึ้นมาใหม่ดีหรือไม่ขอรับ?!!” ชายพ่อค้าผักคนหนึ่งเอ่ยเสนอตัวขึ้นอย่างแข็งขัน อยากทำดีชดเชยที่เคยกล่าวหาคุณชายป๋ายอี้หลินว่าเป็นตัวกาลกิณีลบหลู่ดูหมิ่นเทพเจ้า
“มิเป็นไรหรอกท่านเกอ อีกไม่นานข้ากับท่านอ๋องก็จะต้องล่องเรือเข้าเมืองหลวงแล้ว พวกท่านอย่าลำบากเลย…” ลู่หลินเป็นตัวแทนตอบกลับไปด้วยรู้ว่าตาอ๋องวัตถุโบราณนี่จะไม่พูดแน่ๆ
“เช่นนั้นให้พวกเราร่วมเดินทางไปเมืองหลวงด้วยดีหรือไม่ขอรับ พวกเราจะได้ไปเป็นพยานว่าท่านอ๋องและพระชายาป๋ายพยายามช่วยเหลือพวกเราอย่างเต็มที่” หญิงชรานางหนึ่งช่วยเอ่ยแนะ นางเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มผู้งมงายบัวเหล่าที่สี่ ได้ท่านอ๋องทุ่มเทกำลังอย่างสุดความสามารถช่วยเหลือชีวิตไว้จึงซาบซึ้งในบุญคุณและพร้อมตอบแทนอย่างเต็มที่ แม้แต่ความตายก็มิคิดหวั่นเกรง
“อย่าเลยท่านยาย… เดินทางล่องเรือสู่เมืองหลวงยาวนานไม่สบายนัก อีกทั้งก่อนหน้านี้ท่านราชครูเกาผู้แทนพระองค์ก็เร่งเดินทางไปช่วยเบิกความแล้ว มีได้มีสิ่งใดน่าเป็นห่วงหรอก…” เป็นอีกครั้งที่ลู่หลินต้องเอ่ยปากตอบกลับไปด้วยตาอ๋องเลือกจะทำเพียงยืนมองนิ่งๆ เท่านั้น ไอ้ที่บอกคนอื่นว่าอย่าเป็นห่วงนั้นก็พูดออกไปงั้นๆ ลึกๆ แล้วลู่หลินก็ยังหวาดหวั่นไม่น้อยว่าเข้าเมืองหลวงไปคราวนี้เรื่องราวจะพลิกแพลงไปอย่างไร
“งั้นท่านเอาเนื้อตากแห้งที่ข้าทำแบ่งไปใช้เป็นเสบียงอาหารบนเรือหน่อยดีหรือไม่? วันก่อนที่มาถึงท่าเรือนี้วันแรกข้าเห็นพวกทหารขนอาหารและข้าวของจำเป็นลงมาให้พวกเราเสียเกือบหมดเรือ พวกท่านต้องเดินทางอีกหลายวันไม่ค่อยมีเสบียงอาหาร เดี๋ยวจะอดอยากนะ”
แม่ของเด็กสาวที่เกือบตกเรือไปรีบเสนออาหารให้ หวังตอบแทนพระคุณลู่หลินและท่านอ๋องรวมถึงองครักษ์เจิ้งที่ช่วยเหลือชีวิตลูกของตนเอาไว้จนตัวเองเกือบจะต้องตายไป
ในฐานะที่เธอได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์อันน่าตระหนกที่พระชายาป๋ายตกเรือไปจนท่านอ๋องต้องโดดตามไปช่วยกลับขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้ว เธอจึงเห็นความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องตอบแทนพระคุณของคนทั้งคู่อย่างเต็มที่ทุกวิถีทาง ด้วยรู้ดีว่าสาเหตุที่พระชายาป๋ายต้องตกลงไปก็เพราะว่าให้ท่านองครักษ์เจิ้งผละมาช่วยลูกสาวของตน ดังนั้นตั้งแต่ที่มาถึงที่หาดแห่งนี้วันแรก เธอก็รีบเล่าขานกิตติศัพท์ความกล้าหาญและมีเมตตาของคนทั้งสองคนตลอดจนการช่วยเหลือคนงมงายทั้งห้าสิบชีวิตที่รั้งท้ายอยู่ที่เมืองโจวออกมาให้ชาวบ้านได้รู้และตระหนักในคุณความดีของคนทั้งคู่และกองกำลังทหารกองทัพมังกรทมิฬ แม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อความจริงกระจายออกสู่ชาวบ้าน เรื่องราวทุกอย่างก็จะถูกบอกต่อออกไปจนขยายเป็นวงกว้าง ยังผลให้เกิดความรักและศรัทธาในตัวของบุคคลทั้งสองอย่างจริงใจ
“ความใจดีนี้ข้าขอรับด้วยใจ พี่สาวอย่าห่วงเลย ยามนี้ความช่วยเหลือจากทางการเริ่มทยอยมาถึงแล้ว เรื่องข้าวปลาอาหารจึงไม่น่ากังวล พวกท่านเก็บเนื้อตากแห้งไว้เถอะ”
ลู่หลินปฏิเสธไมตรีอย่างสุภาพด้วยเรื่องอาหารยังไม่มีปัญหาขาดแคลน จะให้ต้องเบียดเบียนกันก็ใช่ที่ รับจากคนหนึ่งมาเดี๋ยวคนอื่นๆ ก็แห่นำมาให้ไม่หยุดหย่อน ในฐานะที่เขาและตาอ๋องนี้สูงศักดิ์และสะดวกสบายกว่า จะให้ไปแย่งอาหารจากราษฎรได้หรือ
เสียงเสนอสิ่งต่างๆ จากชาวบ้านยังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง และลู่หลินก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยโต้ตอบอย่างใจดี เกิดเป็นภาพที่น่าชื่นชมเมื่อพระชายาและท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ยืนอยู่กลางวงชาวบ้านและร่วมพูดคุยเรื่องราวสัพเพเหระได้อย่างเป็นกันเอง แม้จะเห็นท่านองครักษ์เจิ้งและทหารราชองครักษ์เฝ้าติดตามมาระวังภัยให้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ดูเป็นทางการจนน่ากลัวเกินไป อีกทั้งกองกำลังทหารมังกรทมิฬก็เดินกระจายอยู่ประปรายในช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน คนทั้งคู่จึงดูไม่คล้ายเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ แต่กลมกลืนเป็นเช่นชาวบ้านสามัญชนธรรมดา
ชายขุนนางภูธรเมืองโจวผู้หนึ่งเคยอยู่ในกลุ่มบัวเหล่าที่สี่ที่ไม่คิดเชื่อคำท่านอ๋องและยังเคยดูถูกพระชายาป๋ายอิ้งซื่อไว้อย่างร้ายกาจ มายามนี้ทุกอย่างได้ประจักษ์แล้วก็ให้ละอายใจนัก เฝ้ามองชาวบ้านห้อมล้อมคนทั้งคู่อยู่ไกลๆ ได้ไม่นาน ในที่สุดก็ตัดสินในเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปแล้วทรุดกายลงคุกเข่าก้มหัวจนติดพื้นแทบเท้าของโจวหยางอ๋องนั่นเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: #ลู่หลินไม่อินประวัติศาสตร์ ภาคป๋ายลู่หลิน กับศึกชิงบัลลังก์อาณาจักรฉิน