ตอน บทที่ 431 คุณไม่ต้องมาสอนผมหรอก จาก ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 431 คุณไม่ต้องมาสอนผมหรอก คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายมนุษย์หมาป่าแวมไพร์ ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?! ที่เขียนโดย เมียวเมียว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 431 คุณไม่ต้องมาสอนผมหรอก
หลังกลับมาถึงบ้าน จิ้นเฟิงเหราก็ถูกปรนนิบัติราวกับราชา
ยืดแขนก็มีคนสวมเสื้อให้ อ้าปากก็มีคนป้อนอาหารให้ บอกได้เลยว่ามันวิเศษมากๆ
เพราะจิ้นเฟิงเหรายังไม่หายดี จิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อเองก็ยังไม่มีแพลนที่จะไปฮันนิมูนกัน ส่วนหนึ่งก็เพราะเป็นห่วงจิ้นเฟิงเหรานี่แหละ
แต่คนอย่างจิ้นเฟิงเหรานะเหรอจะยอมอยู่นิ่งๆ ทำตัวอย่างกับว่ามีเข็มคอยทิ่มก้นเอาแต่ดิ้นไปดิ้นมาอยู่อย่างนั้นเลยแม่จิ้นเองจึงตัดสินใจจัดงานปาร์ตี้ให้เขาเสียเลย
ในคืนปาร์ตี้
เมืองที่สุดแสนเจริญแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยท้องฟ้าอันมืดมิด ค่ำคืนที่มืดสนิทถูกประดับไปด้วยแสงสีของไฟนีออนสายลมอ่อนๆ พัดพาชายเสื้อให้ปลิวไสว
เจียงสื้อสื้อใส่ชุดราตรีที่ดูมีระดับ ชุดเกาะอกสีดำรัดรูปที่เธอสวมใส่ เผยให้เห็นเรือนร่างที่งดงามของเธอ ใบหน้าที่สะสวยของเธอก็ดูน่าหลงใหลไม่แพ้กัน
ผมยาวๆ ของเธอถูกรวบขึ้นไป ปอยผมที่แสนซุกซนห้อยลงมาติดอยู่บนใบหน้าของเธอ
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็ต้องอมยิ้ม จากนั้นเขาก็ช่วยเธอเอาปอยผมไปทัดไว้ที่หลังใบหู จากนั้นมองเธอด้วยแววตาที่แสนอบอุ่น “คืนนี้คุณดูสวยมากเลยครับ”
เมื่อถูกจิ้นเฟิงเฉินชมเข้าแบบนี้ ต่อให้คนๆ นั้นคือเจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินจนหน้าแดงออกมา
เจียงสื้อสื้อมองเขาด้วยสายตาซุกซน “อย่าเอาความจริงมาล้อเล่นแบบนี้ได้ไหมคะ?”
จิ้นเฟิงเฉินดึงชุดของเธอให้ปิดสูงขึ้นมานิดหน่อย จากนั้นก็โน้มตัวไปกระซิบที่ข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเป็นเจ้าของว่า “ชุดหน่ะใส่ให้มันสูงๆ หน่อยครับ อย่าไปโชว์ให้คนอื่นเขาดูนะ”
ทั้งสองเดินหยอกล้อกันจนมาถึงงานเลี้ยง
เมื่อทั้งสองมาถึงตรงหน้าประตู คนทั้งงานก็ต้องหันไปมอง เพราะทั้งคู่นั้นช่างดูโดดเด่นเหลือเกิน
คนบางส่วนทั้งเกลียดทั้งอิจฉาเจียงสื้อสื้อ แต่นั่นแค่ส่วนน้อย เพราะคนส่วนใหญ่นั้นก็ยินดีกับเธอซะมากกว่า
“หึหึหึ พอมาถึงก็หักหน้าผมเลยนะ”
จิ้นเฟิงเหราพูดแซว จากนั้นก็ใช้มือปัดๆ ชุดสูทของตัวเอง ราวกับว่าพยายามที่จะปัดเสนียดที่ตัดเสื้อเขาให้ออกไป
“งานปาร์ตี้นี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อให้พวกพี่มาสวีทกันซะหน่อย”
พอเจียงสื้อสื้อเห็นจิ้นเฟิงเหรามีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เธอก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเขาซะหน่อย
เธอจึงเชิดหน้าขึ้น ประสานมือเข้ากับจิ้นเฟิงเฉิน จากนั้นก็พูดว่า “ช่างเถอะ เดิมทีงานนี้แม่ก็ตั้งใจจัดขึ้นมาให้เธอโดยเฉพาะ แต่ระวังอย่าให้พวกพี่แย่งซีนไปหล่ะ”
จิ้นเฟิงเหรากำลังยืนถกกับเจียงสื้อสื้ออยู่ ที่หน้าประตูอย่างดุเดือด โดยที่ไม่มีใครยอมใคร
จิ้นเฟิงเฉินที่ทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงได้พูดแทรกขึ้นมาว่า “นี่พวกคุณสองคนจะเถียงกันตรงนี้จริงๆ ใช่ไหมครับ?”
“ใครจะอยากไปเถียงกับคนอย่างเขากันคะ”
เจียงสื้อสื้อตอบกลับอย่างได้ใจ เชิดหน้าแล้วหันไปมองบรรดารถที่จอดอยู่ “ทำไมหวั่งชีงยังมาไม่ถึงอีกคะเนี่ย?”
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทั้งสองคนเกิดการโต้เถียงขึ้นมาอีก จิ้นเฟิงเฉินจึงได้สั่งให้จิ้นเฟิงเหราเข้างานไปในงานก่อน และเพื่อให้เขาได้ไปพบป่ะกับแขกที่มาร่วมงานด้วย
เพราะไม่ว่ายังไงงานปาร์ตี้ครั้งนี้ก็จัดขึ้นมาให้เขาโดยเฉพาะ
ดูผิวเผินอาจจะดูเหมือนเป็นงานเลี้ยงขอบคุณ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของแม่จิ้นก็คือต้องการหาคู่ให้จิ้นเฟิงเหรา เพราะเหตุนี้เธอถึงได้เชิญคุณหนูมากมายให้มาร่วมงานแบบนี้
พี่สื้อสื้อคะ!”
เสียงของคนๆ หนึ่งที่แสนคุ้นเลยได้ดังขึ้น ส้งหวั่นชีงที่ถือชายกระโปรงเดินตรงมาทางเจียงสื้อสื้อ
จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ ให้จิ้นเฟิงเฉินที่ยืนโอบเอวเจียงสื้อสื้ออยู่ เพื่อเป็นการทักทาย
“พี่สื้อสื้อ นี่พี่เรียกฉันมาทำไมคะ……แถมยังบอกให้ฉันใส่ชุดที่เป็นทางการอีกด้วย……”
พอหันไปเห็นบรรดาสาวๆ ที่มาร่วมงาน เธอก็รู้สึกอยากจะด่าตัวเองขึ้นมาทันที
เธอทำใจยอมรับไม่ได้เลยจริงๆ ว่าตัวเองจะมาเสียท่าให้เด็กน้อยแบบนี้ เธอพยายามตั้งสติ แต่น้ำเสียงที่พูดไปฟังดูค่อนข้างเสียความมั่นใจเลย “เธออย่าคิดว่า……คิดว่าตัวเองเป็นเด็กแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ! อย่าคิดว่าฉันจะไม่กล้าลงมือนะกับเธอ!”
“คุณคิดจะลงมือกับใครเหรอคะ?”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นหันหลังกลับไปโดยอัตโนมัติ แล้วก็ได้เห็นเจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินที่กำลังเดินตรงมาที่เธอ
จิ้นเฟิงเฉินกับเจียงสื้อสื้อนั้นเธอรู้จักดี สองคนนี้เป็นคู่สามีภรรยาที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วยมากที่สุด เพราะถ้าเผลอไปมีเรื่องกับพวกเขาก็เท่ากับคนๆ นั้นได้เจอกับปัญหาระดับภัยพิบัติแล้ว
แต่เด็กคนนี้กลับวิ่งเข้าไปเกาะอยู่ที่ขาของเจียงสื้อสื้อแล้วยังเรียกเธอว่า “แม่อีกต่างหาก”
ผู้หญิงคนนั้นพยายามฝืนยิ้มออกมา เพราะกลัวว่าเจียงสื้อสื้อกับจิ้นเฟิงเฉินจะเอาเรื่องเธอ จากนั้นก็โบกไม้โบกมือแล้วแก้ตัวว่า “ฉันไม่ได้พูดนะคะ คุณเจียงหูฝาดไปหรือเปล่าคะ………”
สายตาที่เยือกเย็นของจิ้นเฟิงเฉินได้มุ่งตรงมาที่เธอเพื่อเป็นการตักเตือน
เจียงสื้อสื้อนั้นเมินใส่ผู้หญิงคนนั้น แล้วเดินตรงไปหาส้งหวั่นชีงที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วถามขึ้นว่า “เธอไม่เป็นอะไรนะ? เธอถูกผู้หญิงคนนี้รังแกใช่ไหม?”
ส้งหวั่นชีงได้ดึงแขนของเจียงสื้อสื้อที่กำลังจะเข้าไปหาเรื่องผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ แล้วส่ายหน้า “อย่าเลยค่ะ ผู้หญิงแบบนี้พี่อย่าเอามาใส่ใจเลย”
ถึงแม้ส้งหวั่นชีงจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ก่อนที่เจียงสื้อสื้อจะปล่อยผู้หญิงคนนั้นไป เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดสั่งสอนผู้หญิงคนนั้นไปชุดหนึ่ง
ดูเหมือนว่าทุกๆ คนในงานเลี้ยงต่างก็ให้ความสนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อต้องการสร้างโอกาสที่จะได้ร่วมงานกับจิ่นเฟิงเฉิน หลายๆ คนจึงพยายามที่จะเข้าหามาทางเจียงสื้อสื้อ
ด้วยเหตุนี้ เมื่อจิ้นเฟิงเฉินเดินจากไป ผู้คนก็พากันพุ่งเข้ามาราวกับน้ำในแม่น้ำที่ไหลทะลัก
ส้งหวัานชีงกับเจียงสื้อสื้อถูกพวกเขาอวยจนตัวแทบลอยแล้ว ความเป็นกันเองที่มีมากเกินไปทำให้ส้งหวั่นชีงนั้นทำตัวไม่ถูก
นานมากกว่าจะสามารถปลีกตัวออกมาจากคนพวกนั้นได้ ส้งหวั่นชีงหายใจเข้าลึกๆ เพื่อดูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในร่างกายให้ได้มากที่สุด แบบนี้เธอค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงมาหน่อย
เมื่อเจียงสื้อสื้อเห็นเธอดูโล่งอกลงแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เธออาจจะรู้สึกคาดไม่ถึง แต่ถ้าสามารถเคยชินกับมันก็ดีแล้ว”
รอยยิ้มของส้งหวั่นชีงได้หายไปแล้ว พอนึกถึงผู้คนพวกนั้น เธอก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที แต่ก็ยังดีที่เธอไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนั้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!