เจียงสื้อสื้อนำความหมายของซ่างกวนหยวนบอกแก่ฟางยู่เชินฟัง
เมื่อฟางยู่เชินได้ยินแล้ว พลันยินดีปรีดาอย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่าจะมีโทรศัพท์มากั้นก็ตามที แต่ก็ยังรับรู้ถึงความดีใจของเขาได้ เจียงสื้อสื้ออดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
“สื้อสื้อ ขอบคุณนะ” ฟางยู่เชินพูดขอบคุณอย่างจริงจัง
“ไม่ต้องขอบคุณ”
เมื่อสามารถจัดการเรื่องส่วนตัวของตนเองได้แล้ว ฟางยู่เชินถึงฉุกคิดเป็นห่วงเธอขึ้นมาได้ “ที่บ้านสบายดีใช่ไหม?”
“ดีมากเลยแหละ” เจียงสื้อสื้อหันศีรษะเหลือบตามองเสี่ยวเป่าที่อยู่บนเตียง “เสี่ยวเป่าเกิดเรื่องนิดหน่อย ฉันคงไม่ได้ไปที่เมืองหลวงได้เร็วขนาดนั้น เรื่องแม่ของฉันก็รบกวนพวกคุณด้วยนะ”
“เสี่ยวเป่าเป็นอะไรไป?” ฟางยู่เชินรีบถามไถ่ทันที
“หกล้มจนหัวแตก ตอนนี้ยังอยู่ที่โรงพยาบาล”
เจียงสื้อสื้อกลัวว่าเขาจะเป็นห่วงมาก พลันรีบพูดเสริมทันที “ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรหรอก พักสองสามวันก็หายดีแล้ว”
เด็กคนหนึ่งล้มจนหัวแตก แม้ว่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไรก็ตามที แต่ก็ทำให้คนตกอกตกใจได้เหมือนกัน
ฟางยู่เชินบอกเรื่องนี้ให้พ่อกับแม่ทราบ
ซ่างหยิงปวดใจยิ่งนัก “แล้วล้มไปได้ยังไง? เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“สื้อสื้อบอกว่าไม่เป็นไร แต่คุณก็น่าจะเข้าใจสื้อสื้อ เพื่อไม่ให้พวกเราเป็นห่วง เธออาจจะโกหกพวกเราอยู่ก็ได้”
ซ่างหยิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ พลันหันศีรษะไปคุยกับสามีฟางเถิง “เหล่าฟาง พวกเราไปเมืองจิ่นเพื่อดูกันสักหน่อยไหม ถึงอย่างไรไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องไปอยู่ดี”
ฟางเถิงพยักหน้าทันที “คุณพูดก็ถูกอีก ในการไปครั้งนี้เพื่อไปเยี่ยมเสี่ยวเป่า และไปเยี่ยมเยียนตระกูลจิ้นด้วย”
“ผมไปเพื่อนกับพวกคุณด้วย” ฟางยู่เชินกล่าวออกมา
"ช่วงนี้บริษัทยุ่งมาก แกไม่ต้องไปหรอก ฉันไปกับแม่แกก็พอแล้ว” ฟางเถิงไม่อยากถ่วงเวลาทำงานของเขา
ฟางยู่เชินไม่ได้ดื้อดึงอะไรต่อ “งั้นได้ ถึงเวลานั้นผมจะให้คนขับรถขับรถไปส่งพวกคุณที่สนามบิน” ฟางเถิงและซ่างหยิงไม่ได้เอาเรื่องที่พวกเขาจะไปยังเมืองจิ่นบอกให้เจียงสื้อสื้อทราบ แต่แอบไปกันเอง
เจียงสื้อสื้อที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีตอนนี้กำลังอ่านหนังสือเป็นเพื่อนกับเสี่ยวเป่า เสี่ยวเป่ายังไม่รู้ตัวอักษร เธอก็คอยพร่ำสอนเขาอย่างไม่ลดละ
จิ้นเฟิงเฉินเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย เมื่อเห็นภาพอันแสนอบอุ่นที่คู่สองแม่ลูกกำลังนั่งพิงกับหัวเตียงและกำลังตั้งใจอ่านหนังสือ มุมปากขยับไปมา
เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหา
เจียงสื้อสื้อกับเสี่ยวเป่าอ่านอย่างตั้งใจมาก จนไม่ได้สังเกตว่าเขามาแล้ว
จนถึง——
“สนุกไหม?”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจนทำให้เจียงสื้อสื้อขวัญหนีดีฝ่อทันที เธอลูบหน้าหน้าอกของตนเอง พลันเงยหน้าขึ้น พร้อมทั้งเหลือบมองค้อนเขา “ทำไมคุณถึงเดินเข้ามาเงียบเชียบขนาดนี้ ตกใจหมดเลย” เฟิงเฉินยื่นมือออกไปพร้อมทั้งหยิบปอยผมทัดหลังใบหูของเธอ “ก็พวกคุณอ่านซะตั้งใจขนาดนี้”
“แด๊ดดี้” เสี่ยวเป่าเรียกเขาอย่างเชื่อฟัง
สายตาพลันเบนมองใบหน้ารูปไข่ของเจ้าเด็กน้อยที่ยังคงขาวซีดอยู่เล็กน้อย หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน “ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
เสี่ยวเป่าพลันยิ้มแย้มแจ่มใสตอบ “ดีขึ้นแล้วครับ”
จิ้นเฟิงเฉินจ้องมองผ้าพันแผลที่พันอยู่บนศีรษะของเขาอยู่ นัยน์ตาเคร่งขรึมลงหนักกว่าเดิมเล็กน้อย “ต่อไปตอนเล่นกันก็ต้องระวังไว้ด้วย อย่าได้ล้มอีกนะ’
เสี่ยวเป่าพยักหน้า “อืม”
“คุณเสร็จธุระแล้วเหรอ?” เจียงสื้อสื้อถาม
“อืม”
เจียงสื้อสื้อขมวดคิ้วเล็กน้อย “ตอนนี้เลิกงานเร็วขนาดนี้ จะทำให้ภาพลักษณ์ไม่ดีหรือเปล่า? แถมหมู่นี้เฟิงเหราเองก็ไม่ใช่ชอบพูดอยู่ว่ายุ่งมากไม่ใช่เหรอ คุณไม่คิดจะช่วยเขาเหรอ?”
“เขามีผู้ช่วย”
ความหมายของเขาก็คือเขาไม่อยากจะเข้าไปช่วย
เจียงสื้อสื้อรู้สึกเห็นใจจิ้นเฟิงเหราขึ้นมาเล็กน้อย การมีพี่ชายที่เป็นแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่สามารถรับได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“วันนี้ปล่อยไปก่อน ตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณต้องช่วยเขาหน่อยนะ หวั่นชีงท้องโตซะขนาดนี้ ให้เขาได้มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนหวั่นชีงให้มากสักหน่อย”
การเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ แม้ว่าจะไปเห็นใจไปกับจิ้นเฟิงเหรา แต่ก็ต้องเห็นใจส้งหวั่นชีงด้วย
จิ้นเฟิงเฉินเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เจียงสื้อสื้อพูดต่อ “ฉันเข้าใจถึงความลำบากตอนนี้ของหวั่นชีง อีกอย่างร่างกายของฉันก็ไม่เป็นไรด้วย คุณไม่ต้องมาคอยอยู่เป็นเพื่อนฉันตลอดหรอก”
“ผมรู้แล้ว”
เขาย่อมรู้เป็นอย่างดีว่าเธอนั้นเห็นใจคู่สามีภรรยาเฟิงเหรา ถ้าตนเองไม่ทำตามที่เธอพูด ไม่งั้นต่อไปเธอก็คงพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ไปทุกวัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกชายของประธาน....เรียกฉันหม่ามี๊?!