กระทั่งทั้งสองพูดคุยกันจนจบ ในที่สุดเสี่ยวเย่จึงค่อยถือน้ำชาออกมาเสียที
แต่ทางด้านไป๋จิ้งเฟิงดูเหมือนว่าเขาจะใช้สติทั้งหมดไปกับแผนการอันบ้าคลั่งนี้ไปแล้ว จนเขาไม่เหลือความคิดที่เกี่ยวข้องกับน้ำชานั่นอีกเลย
ในขณะที่เฉินเฟิงดื่มชาเข้าไปได้สองอึก เขาก็ไม่สามารถที่จะนั่งนิ่งอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว
“คุณชายเฉิน สำหรับเรื่องนี้ผมคงต้องไตร่ตรองอีกสักหน่อย เพราะเดิมทีการกำจัดหมาป่าทะเลทราย สำหรับตระกูลเชียนแล้วผมไม่เคยคิดถึงเลย”
เฉินเฟิงรู้ว่าเป็นการนี้นั้นสำหรับไป๋จิ้งเฟิงแล้วถือว่ามีความเสี่ยงเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบบังคับให้ไป๋จิ้งเฟิงรีบตอบตกลงกับตัวเองทันที
“นายท่านไป๋ หวังว่าคุณจะตัดสินใจอย่างชัดเจน เพราะการจะต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายยังไงก็เป็นความปรารถนาสูงสุดของคุณ” เฉินเฟิงกล่าวแนะ
ไป๋จิ้งเฟิงพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนเดนมุ่งหน้าไปยังรถคันนั้น
กระทั่งรอจนไป๋จิ้งเฟิงจากไป เสี่ยวเย่ถึงค่อยปลดปล่อยความกล้ามานั่งลงข้างๆ เฉินเฟิง
“คุณชายเฉิน ทำไมคุณถึงเพิ่งกลับมาเอาตอนนี้ล่ะคะ” เสี่ยวเย่กล่าวถามอย่างเรื่อยเปื่อย
เธอนั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับดึงหญ้าฟางในมือเล่น ดวงตาไม่ได้จ้องมองยังเฉินเฟิง ราวกับไม่ได้สนใจในตัวเฉินเฟิงเลย
แต่เพียงแค่ภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็นตรงหน้าประตูเมื่อสักครู่นี้ ตอนนี้เสี่ยวเย่กลายเป็นคนที่โดนมองออกจนหมดเปลือกเลย
ต่อให้เธอจะเสแสร้งสักแค่ไหน ความตื่นเต้นภายในใจนั้นก็ไม่สามารถปิดบังเอาไว้อยู่ดี
“เสี่ยวเย่กำลังตำหนิว่าผมกลับมาช้าอย่างนั้นหรอ?” เฉินเฟิงหัวเราะออกมาเบาๆ
เสี่ยวเย่ส่ายหน้า: “ฉันเปล่าสักหน่อยค่ะ ก็แค่นี่ไม่เหมือนกับที่คุณชายเฉินเคยบอกเอาไว้เท่านั้น คุณเคยบอกว่าไปไม่นานเดี๋ยวก็กลับมานี่คะ”
เฉินเฟิงถาม: “แต่ว่าตอนนี้ผมก็กลับมาเร็วมากแล้วนะ เสี่ยวเย่ยังอยากให้ผมเร็วกว่านี้อีกหรอ ?อย่างนั้นผมก็จนปัญญาเกินไปแล้ว”
เมื่อถูกเฉินเฟิงพูดใส่อย่างนี้ เสี่ยวเย่จึงไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร เพราะแค่รู้สึกว่ามันไม่เหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้
“ฉันก็แค่รู้สึกสงสัยเองค่ะ ฉันไม่ได้ต้องการให้คุณชายเฉินรีบกลับมาสักหน่อย ฉันอยู่ที่นี่คนเดี๋ยวเป็นอิสระจะตายไปค่ะ อยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น”
เฉินเฟิงที่มองดูเสี่ยวเย่แสร้งทำเป็นดีใจที่ได้รับอิสระ เขาก็หยิบเอาหยกชิ้นหนึ่งในกระเป๋ากางเกงออกมา
ในขณะที่เสี่ยวเย่กำลังอยู่ตรงนั้นแสดงท่าทีที่ตัวเองได้ทำเรื่องสนุกมากมายตัวคนเดียว จู่ๆ ก็หันไปเห็นของที่อยู่ในมือของเฉินเฟิง เธอถึงกับชะงักนิ่ง
“อันนี้คือ?”
เธอจ้องมองไปยังหยกอันคุ้นตาชิ้นนั้นด้วยความตกตะลึง ซึ่งก็คือจี้หยกขาวแกะสลักรูปกระต่ายชิ้นนั้นที่เธอได้เห็นในร้านขายหยกวันนั้นนั่นเอง
เฉินเฟิงปลดด้ายสีแดงของหยกนั้น เตรียมจะสวมใส่ให้กับเสี่ยวเย่
แต่เสี่ยวเย่กลับเขยิบตัวถอยหลังไปแทน: “คุณชายเฉิน ฉันรับของชิ้นนี้ไว้ไม่ได้หรอกค่ะ คุณเคยสัญญากับเสี่ยวเย่แล้วว่าจะไม่มอบสิ่งของราคาแพงขนาดนี้ให้กับเสี่ยวเย่ แต่ว่าหยกชิ้นนี้มันแพงมากจริงๆ นะคะ”
เฉินเฟิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม: “เสี่ยวเย่ นี่ไม่ใช่หยกชิ้นนั้นที่คุณเจอหรอกนะ อันนี้คือตอนที่ผมไปบ้านตระกูลไป๋ แล้วได้เห็นตรงริมถนนซึ่งมันเหมือนชิ้นนั้นต่างหากล่ะ เมื่อคิดแล้วก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ที่ทำให้ผมได้เผอิญเจอเข้าพอดี ดังนั้นผมก็เลยซื้อมันมาให้คุณซะเลย”
ตอนแรกเฉินเฟิงคิดว่าเสี่ยวเย่จะเป็นคนที่หลอกได้ง่ายๆ แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าที่จริงแล้วเสี่ยวเย่นั้นจดจำรายละเอียดของหยกชิ้นนั้นได้อย่างชัดเจน เธอพูดแย้ง: “คุณชายเฉิน คุณกำลังโกหกฉัน ตอนที่ฉันได้เห็นหยกชิ้นนั้น ลวดลายข้างล่างของมันฉันได้ดูอย่างละเอียดหมดแล้วแล้ว ซึ่งมีความเหมือนกับชิ้นนี้ไม่มีผิดเลย นี่ไม่ใช่ของที่ซื้อมาจากริมถนนหรอกค่ะ”
เฉินเฟิงถึงกับตกตะลึง เจ้าเด็กคนนี้ยังมีวันที่จะฉลาดได้ขนาดนี้ด้วย
“คุณต้องจำผิดไปแล้วแน่นอน ชิ้นนี้เป็นของเหมือนที่ผมซื้อมาจากริมถนนจริงๆ ผมจำได้ว่าเสี่ยวเย่ชอบ ดังนั้นเลยตั้งใจซื้อมาให้ ราคาแค่ไม่กี่ร้อยเอง” เฉินเฟิงยังคงแถต่อไป
แต่เสี่ยวเย่ยังคงแสดงท่าทีแน่วแน่ดังเดิม: “คุณชายเฉิน ฉันรับเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ”
เมื่อเธอพูดจบ ก็หวังจะลุกขึ้นเพื่อหนีออกไป
แต่ด้วยความมือไวของเฉินเฟิง จึงรีบดึงตัวเธอกลับมาทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ลูกเขยมังกร
งง ตั้งแต่ตอน800มาเนี่ยเหมือนคนละเรื่องเลย แค่พระเอกชื่อเด่วกัน จู่ๆพระเอกก้อไปจีบหลินหวั่นชิวซะงั้น ตัวละครเก่าหายหมด มีแต่ตัวละครใหม่ผุดขึ้นมา ต่อสู้กันแบบไมม่มีสาเหตุ...
อ่านมาถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าอ่านไปปวดหัวไป เล่าประวัติพระเอกมาว่าเป็นเด็กที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง แม่ตายออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เล่ามาซะอย่างกับพระเอกเก่ง ฉลาด ทันคน มีความรู้ อ่านแล้วหงุดหงิดใจริงๆ...