บทที่ 65 กลับคำ
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนสองคนจากตระกูลหัสบดินทร์ที่เป็นไปในลักษณะนี้ จักรชัยก็ทนไม่ไหวเล็กน้อย
แต่ในเวลานี้เองเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองทำให้ตระกูลหัสบดินทร์เกิดความวุ่นวาย
เพราะไม่ว่าจะเป็นธีรพลหรือคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ พวกเขาก็มีด้านธรรมดาเหมือนคนทั่วไป
ส่วนอีกด้านเป็นเพียงการสวมหน้ากากเพื่อความสะดวกในการเข้าสังคม
ในใจก็เข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จักรชัยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
“เอ่อ คุณแม่ครับ ผมรับพ่อแม่บุญธรรมมาในเมืองแล้ว จัดเตรียมให้อยู่ที่...”
หลังจากบอกที่อยู่ของคฤหาสน์หลังอื่น จักรชัยก็ยังกลัวๆว่าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะไม่เห็นด้วย
ไม่คาดคิดว่าเขาจะเห็นรอยยิ้มของเธอ
“รู้จักตอบแทนบุญคุณ ลูกหลานของตระกูลหัสบดินทร์ของเราไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ”
เขาไม่ได้โดนด่า ในทางกลับกันยังได้รับคำชื่นชม คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ไม่กลัวว่าพ่อแม่ของเขาจะแย่งเขาไปหรอกหรือ?
อาจเป็นเพราะเห็นแววตาประหลาดใจของจักรชัย คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์เองก็ไม่ใช่คนโง่ เธอจึงพูดอีกว่า
“ขาก็อยู่บนตัวลูก ไม่มีใครไปบังคับลูกได้หรอก”
ประโยคนี้แสดงออกถึงทัศนคติ
จักรชัยเคยคลุกคลีอยู่กับชนชั้นล่างมาก่อน แต่ใบหน้าอ่อนโยนแบบนี้ก็ไม่เลว
เมื่อได้ยินคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์พูดออกมาแบบนี้ จักรชัยจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
ไร้สาระน่า ตัวเองได้รับคำตอบที่น่าพอใจแล้ว
หากพูดต่อไปอีก ใครล่ะจะรู้ว่าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะเสียใจหรือไม่
นี่ก็ไม่แปลกที่จักรชัยจะคิดแบบนี้
ไม่มีทาง แม้ว่าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะเป็นแม่แท้ๆของเขา แต่ทั้งคู่ก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ใช้เวลาด้วยกันก็ยิ่งน้อย
ต่างคนก็ต่างไม่รู้จักกันดี
“เอ่อ แม่ครับ งานเลี้ยงเริ่มตอนกี่โมง?”
พอจักรชัยพูดเตือนมาแบบนี้ คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็นึกขึ้นได้ว่าจักรชัยมาหาตัวเองทำไม
“อ้อ ใช่แล้ว ถ้าลูกไม่บอกแม่คงลืมไปเลย”
พอเอ่ยถึงงานเลี้ยง คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็เสียสมาธิจริงๆ
นอกเหนือจากสิ่งอื่นใด เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที
เมื่อกี้นี้ยังพูดอยู่เลยว่าเธอดูอ่อนโยนกับธีรพล แต่ตอนนี้ หึหึ
“คุณแม่ครับๆ ใจเย็นๆ”
ธีรพลที่อยู่ด้านข้างอดพูดออกมาไม่ได้ เขาบ่น
“ระวังภาพพจน์ด้วย”
“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอก ดูน้องชายแกสิ”
เมื่ออยู่ระหว่างความขัดแย้ง จักรชัยทำตัวไม่ถูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพี่ชายของเขาได้ยินสิ่งที่แม่พูด สายตาก็หันมามองที่เขา
สายตานั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังสื่อถึงอะไร
แกดูสิ...ว่าแม่ลำเอียง
ดังนั้นจึงมีความคับข้องใจแขวนอยู่บนใบหน้าของทั้งสอง จะมองข้ามก็ไม่ได้
จักรชัยอยากพูดกับพี่ชายตัวเองจริงๆเลยว่าที่แม่เอาอกเอาใจเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะควบคุมได้เอง
พอคิดแล้วคิดอีก จักรชัยก็ได้แต่จ้องตาพี่ชายตัวเองและหันไปยิ้มให้แม่
ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ตอนนี้มีเพียงคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ที่สามารถปกป้องเขาได้
ถ้าเขาพูดออกไปแบบนั้น เรื่องก็จะยิ่งยุ่งไปอีก
“เอาล่ะ พวกเรารีบไปซื้อของกันเถอะ”
ซื้อของ? อาหาร?
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว แต่พอมองไปยังร่างกายที่ประดับไปด้วยแก้วแหวนเงินทองของคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ จักรชัยก็รีบปฏิเสธความคิดนี้ทันที
คิดอะไรอยู่เนี่ย จะเป็นไปได้อย่างไร
ให้คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ไปซื้ออาหารเนี่ยนะ บ้าชะมัด
แต่หากพูดตามความจริง จักรชัยก็ไม่ได้เดาผิดซะทีเดียว
“จักรชัย งานเลี้ยงประจำตระกูลไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”
“อืมอืม”
เมื่อสังเกตเห็นหน้าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ดูจริงจังขึ้นมา จักรชัยก็ไม่กล้าเมินเฉย
แน่นอนว่าฟังคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์พูดต่อไป
“อันดับแรก ลูกจะใส่เสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้”
“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งจริงไหม? แม่จะพาลูกไปเลือกเสื้อผ้าเพิ่ม”
“เอ่อ”
คุณจะพาผมไปซื้อเสื้อผ้าก็ไปเถอะ แต่คนนั้นจะมาด้วยทำไม?
เขาชำเลืองมองธีรพลที่อยู่ข้างๆ จักรชัยได้แต่คิดแต่ก็คิดไม่ตก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว