สรุปตอน บทที่ 65 กลับคำ – จากเรื่อง moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว โดย Light-Knight
ตอน บทที่ 65 กลับคำ ของนิยายใช้ชีวิตเรื่องดัง moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว โดยนักเขียน Light-Knight เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 65 กลับคำ
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนสองคนจากตระกูลหัสบดินทร์ที่เป็นไปในลักษณะนี้ จักรชัยก็ทนไม่ไหวเล็กน้อย
แต่ในเวลานี้เองเขาก็ตระหนักได้ว่าตัวเองทำให้ตระกูลหัสบดินทร์เกิดความวุ่นวาย
เพราะไม่ว่าจะเป็นธีรพลหรือคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ พวกเขาก็มีด้านธรรมดาเหมือนคนทั่วไป
ส่วนอีกด้านเป็นเพียงการสวมหน้ากากเพื่อความสะดวกในการเข้าสังคม
ในใจก็เข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย จักรชัยก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
“เอ่อ คุณแม่ครับ ผมรับพ่อแม่บุญธรรมมาในเมืองแล้ว จัดเตรียมให้อยู่ที่...”
หลังจากบอกที่อยู่ของคฤหาสน์หลังอื่น จักรชัยก็ยังกลัวๆว่าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะไม่เห็นด้วย
ไม่คาดคิดว่าเขาจะเห็นรอยยิ้มของเธอ
“รู้จักตอบแทนบุญคุณ ลูกหลานของตระกูลหัสบดินทร์ของเราไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ”
เขาไม่ได้โดนด่า ในทางกลับกันยังได้รับคำชื่นชม คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ไม่กลัวว่าพ่อแม่ของเขาจะแย่งเขาไปหรอกหรือ?
อาจเป็นเพราะเห็นแววตาประหลาดใจของจักรชัย คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์เองก็ไม่ใช่คนโง่ เธอจึงพูดอีกว่า
“ขาก็อยู่บนตัวลูก ไม่มีใครไปบังคับลูกได้หรอก”
ประโยคนี้แสดงออกถึงทัศนคติ
จักรชัยเคยคลุกคลีอยู่กับชนชั้นล่างมาก่อน แต่ใบหน้าอ่อนโยนแบบนี้ก็ไม่เลว
เมื่อได้ยินคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์พูดออกมาแบบนี้ จักรชัยจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
ไร้สาระน่า ตัวเองได้รับคำตอบที่น่าพอใจแล้ว
หากพูดต่อไปอีก ใครล่ะจะรู้ว่าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะเสียใจหรือไม่
นี่ก็ไม่แปลกที่จักรชัยจะคิดแบบนี้
ไม่มีทาง แม้ว่าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะเป็นแม่แท้ๆของเขา แต่ทั้งคู่ก็เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน ใช้เวลาด้วยกันก็ยิ่งน้อย
ต่างคนก็ต่างไม่รู้จักกันดี
“เอ่อ แม่ครับ งานเลี้ยงเริ่มตอนกี่โมง?”
พอจักรชัยพูดเตือนมาแบบนี้ คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็นึกขึ้นได้ว่าจักรชัยมาหาตัวเองทำไม
“อ้อ ใช่แล้ว ถ้าลูกไม่บอกแม่คงลืมไปเลย”
พอเอ่ยถึงงานเลี้ยง คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็เสียสมาธิจริงๆ
นอกเหนือจากสิ่งอื่นใด เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที
เมื่อกี้นี้ยังพูดอยู่เลยว่าเธอดูอ่อนโยนกับธีรพล แต่ตอนนี้ หึหึ
“คุณแม่ครับๆ ใจเย็นๆ”
ธีรพลที่อยู่ด้านข้างอดพูดออกมาไม่ได้ เขาบ่น
“ระวังภาพพจน์ด้วย”
“ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอก ดูน้องชายแกสิ”
เมื่ออยู่ระหว่างความขัดแย้ง จักรชัยทำตัวไม่ถูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพี่ชายของเขาได้ยินสิ่งที่แม่พูด สายตาก็หันมามองที่เขา
สายตานั้นเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากำลังสื่อถึงอะไร
แกดูสิ...ว่าแม่ลำเอียง
ดังนั้นจึงมีความคับข้องใจแขวนอยู่บนใบหน้าของทั้งสอง จะมองข้ามก็ไม่ได้
จักรชัยอยากพูดกับพี่ชายตัวเองจริงๆเลยว่าที่แม่เอาอกเอาใจเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะควบคุมได้เอง
พอคิดแล้วคิดอีก จักรชัยก็ได้แต่จ้องตาพี่ชายตัวเองและหันไปยิ้มให้แม่
ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ตอนนี้มีเพียงคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ที่สามารถปกป้องเขาได้
ถ้าเขาพูดออกไปแบบนั้น เรื่องก็จะยิ่งยุ่งไปอีก
“เอาล่ะ พวกเรารีบไปซื้อของกันเถอะ”
ซื้อของ? อาหาร?
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว แต่พอมองไปยังร่างกายที่ประดับไปด้วยแก้วแหวนเงินทองของคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ จักรชัยก็รีบปฏิเสธความคิดนี้ทันที
คิดอะไรอยู่เนี่ย จะเป็นไปได้อย่างไร
ให้คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ไปซื้ออาหารเนี่ยนะ บ้าชะมัด
แต่หากพูดตามความจริง จักรชัยก็ไม่ได้เดาผิดซะทีเดียว
“จักรชัย งานเลี้ยงประจำตระกูลไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ”
“อืมอืม”
เมื่อสังเกตเห็นหน้าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ดูจริงจังขึ้นมา จักรชัยก็ไม่กล้าเมินเฉย
แน่นอนว่าฟังคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์พูดต่อไป
“อันดับแรก ลูกจะใส่เสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้”
“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งจริงไหม? แม่จะพาลูกไปเลือกเสื้อผ้าเพิ่ม”
“เอ่อ”
คุณจะพาผมไปซื้อเสื้อผ้าก็ไปเถอะ แต่คนนั้นจะมาด้วยทำไม?
เขาชำเลืองมองธีรพลที่อยู่ข้างๆ จักรชัยได้แต่คิดแต่ก็คิดไม่ตก
“เอาล่ะ อย่าให้พี่ชายลูกรอนานเลย เราไปกันเถอะ”
เมื่อทั้งสองรีบเดินไปที่ประตูทางออกของโรงพยาบาล ธีรพลก็ได้ขับรถออกจากที่จอดรถไปรอที่ประตูทางออกนานแล้ว
ทั้งใหญ่โตและมีสง่าราศี
ถึงเขาจะมีเงิน แต่เขาก็มีรถด้วย
แม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นว่าตระกูลหัสบดินทร์ฟุ่มเฟือย แต่จักรชัยก็ยังตกใจ
“มันก็แค่รถ ทำไม? ชอบที่ฉันมาส่งแกเหรอ”
ทันทีที่พูดจบ ธีรพลก็มอบกุญแจให้เขา
เมื่อมองของที่อยู่ตรงหน้า จักรชัยก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้
ผู้ชายทุกคนล้วนชอบรถ โดยเฉพาะรถหรู
แต่เขาขับรถไม่เป็น
เขาโบกมืออย่างช่วยไม่ได้ จักรชัยคิดจะปฏิเสธ แต่ธีรพลกลับชักมือกลับไปเรียบร้อยแล้ว
“ขับไม่เป็นก็ไม่เป็นไร เรียนเอาก็ได้”
“อืม”
คำพูดนี้ก็ไม่ผิด จักรชัยโต้ตอบไม่ได้
“อยากเรียนก็ต้องตั้งใจ อย่าทำให้ตระกูลหัสบดินทร์ขายขี้หน้า”
ตระกูลหัสบดินทร์ขายขี้หน้า?
จะแกล้งทำแบบนี้ไปทำไม? พูดดีดีไม่ได้เหรอ? ขับรถได้ก็ถือว่าเก่งแล้วเหรอ?
หน้าตาตระกูลหัสบดินทร์ของพวกนายก็เป็นแค่หน้า ส่วนฉันไม่ใช่
เอาเถอะ พูดกันตามตรง เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลหัสบดินทร์ เขาก็เทียบไม่ได้จริงๆ
จักรชัยเข้าใจในข้อนี้ แต่เขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
“คนที่ขับรถก็คือคนขับรถ เทียบไม่ได้กับคนที่นั่งสบายๆอยู่ในรถ”
“เป็นคนขับรถไม่ได้จะดีกว่าเสียหน่อย”
“ไม่เรียนก็ไม่มีทักษะ”
เมื่อเห็นหน้าขี้โกงแบบนี้ของจักรชัย ธีรพลก็ไม่มีทางเลือก
ใครให้จักรชัยเป็นน้องชายเขาล่ะ ตีก็ไม่ได้ด่าก็ไม่ได้
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพร”
ธีรพลไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีคนกล้าสู้หน้าตัวเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว