สรุปเนื้อหา บทที่ 67 จัดการได้อยู่หมัด – moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว โดย Light-Knight
บท บทที่ 67 จัดการได้อยู่หมัด ของ moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว ในหมวดนิยายใช้ชีวิต เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Light-Knight อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
“คุณแม่ครับ นี่แม่พูดอะไรของแม่”
คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ดีต่อเขามาก จะให้พูดก็คือเรื่องตอนนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ ไม่ได้เป็นเพราะคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ไม่ต้องการเขา จักรชัยจะเกลียดชังได้อย่างไร
แต่มีสิ่งหนึ่งที่จักรชัยยังไม่เข้าใจ
หากคิดในแง่ของเหตุและผล ตระกูลหัสบดินทร์เป็นถึงตระกูลใหญ่โต ดังนั้นการที่คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะคลอดลูกออกมาสักคนจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ต้องมีการคุ้มกันหลายชั้น แล้วเขา...
เมื่อในใจคิดถึงเรื่องนี้ จักรชัยจึงทนเก็บไว้ไม่ได้
“แม่ครับ ตอนแรกที่ผมถูกพรากไปมันเป็นอุบัติเหตุจริงๆเหรอครับ?”
ประโยคนี้เต็มไปด้วยความเจ็บแสบ
“ทำไมเหรอ? จักรชัย? ลูกคิดว่ามันแปลกๆเหรอ?”
สำหรับเรื่องราวในตอนนั้น แม้ว่าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะไม่ได้พูดออกมา แต่ความจริงในใจเธอก็รู้สึกเสียใจยิ่งกว่าใคร
พอตอนนี้จักรชัยพูดออกมาแบบนี้ เธอก็อยากเข้าใจความหมายที่ดูมีลับลมคมใน
“เปล่าครับ”
เห็นอยู่ชัดๆว่าตัวเองเป็นคนพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเองเพื่อต้องการรู้คำตอบที่แท้จริง แต่พอถามลึกๆเข้าไป ความกล้าของจักรชัยกลับลดน้อยลง
ช่างเถอะ ตอนนี้เขาก็มีชีวิตที่ดีอยู่แล้ว จะไปสนทำไมกัน?
จะให้พูดอีกอย่างก็คือการพรากลูกเป็นเรื่องใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นไปไม่ได้ที่คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องพวกนี้
แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริง คาดว่าคงมีใครบางคนไม่ต้องการให้คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์รู้ก็เป็นได้
จะเป็นคุณท่านตระกูลหัสบดินทร์หรือเปล่านะ? จักรชัยก็ไม่แน่ใจ
ช่างเถอะ รู้น้อยก็ทุกข์น้อย รู้มากก็ทุกข์มาก ขอเพียงคนที่อยู่เบื้องหลังไม่มายุ่งก็พอแล้ว
ไม่อย่างนั้น หึหึ
“จักรชัย มีอะไรหรือเปล่า? ไม่เป็นอะไรแน่นะ? ลูกบอกแม่ได้”
ถือโอกาสตอนที่จักรชัยนิ่งไปสักพัก คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็ถือเสื้อผ้าขึ้นมาเทียบบนตัวเขา
เมื่อเห็นว่าเขายังไม่ตอบสนอง คนที่เคยสงสัยก็เริ่มฉุกคิดได้แล้วในตอนนี้
ลูกชายบอกว่าเขาจากไปยี่สิบกว่าปีก็ยี่สิบกว่าปี ยังต้องคิดอะไรอีก
“คุณแม่ครับ ผมไม่เป็นไร”
จักรชัยคิดว่าตัวเองฟุ้งซ่านนานเกินไปแล้ว จึงได้แต่จับมือคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ไว้
มือนั้นหนักแค่ไหน ความสงสัยอยู่ในใจคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็มากแค่นั้น
แม้ว่าเธอจะเสียใจมากแค่ไหนที่จักรชัยผ่านความยากลำบากมาในช่วงหลายปีมานี้
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอยังต้องใจเย็นๆ
ลูกชาย ลูกเป็นเด็กดีจริงๆเลย ไม่อยากให้แม่ทุกข์ใจ
แต่ลูกมีสภาพแบบนี้ ถ้าไม่เป็นอะไรจริงๆนั่นถึงจะน่าเป็นห่วง
เมื่อเห็นว่าคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ยังไม่ยอมแพ้ จักรชัยก็พูดอย่างช่วยไม่ได้
“แม่ครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
ยังมีชีวิตอยู่ จะมีเรื่องอะไรอีกล่ะ
เธอบุ้ยปาก เนื่องจากไม่สามารถรู้เรื่องนี้ได้อย่างแน่ชัด จักรชัยจึงได้แต่เปลี่ยนเรื่อง
“แม่ครับ งานเลี้ยงเริ่มกี่โมง? เราต้องไปที่นั่นก่อนไหม?”
ทันทีที่จักรชัยพูดจบ คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็เริ่มมีปฏิกิริยา
“จริงด้วย พวกเราต้องรีบไปแล้ว”
แม้จะลนลาน แต่เธอก็ยังพูดว่า
“จักรชัย สำหรับเรื่องที่ลูกถูกพรากไป แม่คิดว่าจะตรวจสอบดูอีกครั้ง”
ในหัวมีเครื่องหมายคำถาม ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
ตรวจสอบก็ตรวจสอบสิ ทำไมต้องลากผมไปด้วย
เขาส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จักรชัยทำเป็นไม่ได้ยิน
“เอาล่ะ แม่ครับ พวกเรารีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะสายเอาได้”
ถ้าไม่เป็นเพราะต้องการให้แม่เปลี่ยนเรื่อง ตีให้ตายอย่างไร จักรชัยก็จะไม่ยกเรื่องงานเลี้ยงขึ้นมากพูด
“เอ๊ะ จักรชัย เมื่อกี้นี้ลูกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ชอบงานเลี้ยง เพราะคนเยอะ? ทำไมตอนนี้...”
ยังไม่ถือว่าโง่ซะทีเดียว อย่างน้อยคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
ถ้าไม่เป็นเพราะแม่เอาแต่พูดถึงเรื่องนั้น ผมก็คงไม่ใช้เรื่องนี้มาเผาตัวเองแบบนี้หรอก?
จักรชัยกลอกตาไม่อยากจะสนใจคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์อีก เขาจึงพูดเร่งต่อไป
“เร็วสิครับ แม่”
“ตอนนี้ผมอยากไปให้เร็วหน่อย ไม่ได้หรือไง?”
“ได้ๆ”
“ระวังภาพพจน์ด้วย รีบไปขับรถเถอะ อย่าให้ผมต้องถือของเสียเปล่า”
“นายนี่ดีจัง เป็นคนขับรถฉันไหม?”
ธีรพลถลึงตาโตอย่างไม่พอใจและยังไม่ยอมไปสักที
เมื่อคุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์เห็นดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้
“ธีรพล จักรชัยอุตส่าห์ช่วยแกถือของแล้ว หนักเสียขนาดนั้น...”
“อัยหยา...”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จักรชัยก็ไม่เลว เขาฮัมเพลงในเวลาที่เหมาะสม
ในเวลาต่อมาเขาก็เห็นว่าธีรพลถอยออกไปสองสามก้าวและพูดอย่างน่ากลัว
“ฉันรู้ว่านายอ่อนหัด ฉันจะรีบไปขับรถ นายจะได้ไม่เหนื่อย หวังว่าพอฉันหันหลังกลับน้ำสกปรกจะไม่สาดมาที่ฉันอีกนะ”
จักรชัยไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของธีรพล
ทว่าตัวธีรพลเองก็เดินไปขับรถแล้ว เขาจึงได้แค่เปลี่ยนคนสอบถาม
“คุณแม่ครับ ที่พี่ชายพูด เขาหมายถึงอะไรครับ? ผมไปทำให้เขาโกรธตอนไหน?”
หลังจากพูดประโยคนี้ด้วยความโง่เขลา จักรชัยก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ
เขาก็ไม่ได้รู้จักกับธีรพลนี่นา แล้วจะไปล่วงเกินได้อย่างไร?
ในขณะที่จักรชัยยังคงงุนงง คุณหญิงตระกูลหัสบดินทร์ก็พูดขึ้นมาว่า
“ไม่หรอก จักรชัย ลูกคิดมากแล้ว”
นี่ฉันคิดมากไปจริงๆเหรอเนี่ย! งั้นธีรพลจะโมโหขนาดนั้นได้อย่างไร?
ต่อมา ธีรพลก็ขับรถพาทั้งสองมายังคฤหาสน์ตระกูลหัสบดินทร์ จักรชัยจึงหลบแม่ตัวเองแล้วแอบมาถามพี่ชาย
“พี่ น้ำสกปรกที่พี่พูดนั่นคืออะไร?”
“ห๊ะ? นายยังมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอ?”
เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ธีรพลเริ่มไม่พอใจ
เนื่องจากเขาเป็นเสียแบบนี้ จักรชัยจึงรู้สึกแปลกใจ
ต้องรู้ว่าพี่ชายตัวเองคนนี้ช่วยจัดการงานที่บริษัทมานานแล้ว จึงควบคุมจิตใจตัวเองได้อยู่หมัด
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว
“เอ่อ พี่ พี่บอกผมมาเถอะ ยังมีเรื่องในครอบครัวอีกมากมายที่ผมยังไม่รู้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: moneybags พ่อฉันเป็นเจ้าสัว