"จุนเหยียน วันนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง"
ทันทีที่ซูฉิงเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย เธอเห็นเฉินจุนเหยียนตื่นขึ้นมาพร้อมกับหนังสือความเรียงที่ถือค้างอยู่ในมือ
"หมอบอกว่าฉันอาจจะต้องอยู่ดูอาการต่ออีกสักพักหนึ่ง แต่ฉันคิดว่าฉันดีขึ้นมากแล้ว..."
เฉินจุนเหยียนวางหนังสือลงข้างตัวและพูดกับซูฉิงอย่างตรงไปตรงมา
ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยทุกวัน เขารู้สึกว่าตนเองเหมือนกับเห็ดที่ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้เขา และไหนจะเป็นการรบกวนซูฉิงอีกที่ต้องให้เวลาว่างมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
ที่สำคัญกว่านั้นเขาต้องการออกจากโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด เขาจึงเอ่ยถามซูฉิงอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอเห็นพ้องกับคำกล่าวของเขาหรือไม่
"ซูฉิง ตอนนี้ความคืบหน้าในกองถ่ายเป็นยังไงบ้าง ฉันจำได้ว่าฉันยังมีฉากสำคัญอีกหลายฉากที่ยังไม่ได้ถ่าย ฉันกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป การฉายภาพยนตร์จะต้องเลื่อนเวลาออกไป"
เมื่อเฉินจุนเหยียนคิดถึงการถ่ายทำภาพยนตร์ คิ้วคมของเขาก็ขมวดเป็นปมทันที เขายังเป็นห่วงการถ่ายทำภาพยนตร์อยู่ตลอดเวลา
ซูฉิงบอกผู้กำกับแล้วว่าในระหว่างที่เฉินจุนเหยียนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ทางผู้กำกับจะพยายามถ่ายทำฉากที่ไม่มีนักแสดงนำชายให้เสร็จก่อน คิดว่าคงใช้เวลาทั้งหมดในการถ่ายประมาณเกือบครึ่งเดือน
ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร่างกายของเฉินจุนเหยียน
"ฉันได้ตกลงกับทางกองถ่ายเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวล พวกเขาจะถ่ายฉากที่ไม่มีคุณให้เสร็จเรียบร้อย ซึ่งระยะเวลาถ่ายทำก็คงเพียงพอให้คุณได้พักฟื้นในโรงพยาบาลจนหายดีก่อน และหลังจากนี้เมื่อคุณกลับไปฉากส่วนใหญ่ที่คุณจะต้องถ่ายทำก็เป็นฉากพูดทั้งนั้น คงไม่เป็นปัญหาอะไรกับอาการป่วยของคุณ"
ซูฉิงปลอบกลับเขาด้วยเสียงที่นุ่มนวล ขณะเดียวกันนั้นพยาบาลสาวสวยคนหนึ่งก็ได้เข้ามาในห้องพักผู้ป่วย เธอถามคำถามเพิ่มเติมสองสามข้อเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเฉินจุนเหยียน
"แต่ฉันอยากออกไปถ่ายหนังแล้ว" เฉินจุนเหยียนพูดตามจริง เขาเป็นศิลปินและมีจรรยาบรรณในอาชีพของตัวเอง เขาไม่อยากให้กองถ่ายเสียเวลาเพียงเพราะเขา "ที่จริงทุกอย่างมันเป็นอุบัติเหตุ ถ้าคุณยังให้ทุกคนรอฉันต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ ฉันคงจะเสียใจมากที่เป็นต้นเหตุให้ทุกคนเสียเวลา"
"ไม่เป็นไร ตอนนี้ทุกคนรู้สถานการณ์ของคุณดี ไม่ต้องกังวลไป คุณต้องพักผ่อนให้เพียงพอ"
ในช่วงสองวันที่ผ่านมาซูฉิงเดินทางไปมาระหว่างโรงพยาบาลและบริษัทในช่วงสองวันที่ผ่านมา เฉินจุนเหยียนก็รู้ดีว่าเธอยุ่งแค่ไหน ถึงแม้ว่าเขาจะอยากกลับไปที่กองถ่ายมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถทำให้เธอเป็นกังวลได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าและทำตามคำพูดของซูฉิงต่อไป .
สนามบินเมืองA
ชายร่างสูงลากกระเป๋าเดินทางออกจากสนามบิน ขณะที่เธอเดินลงบันได เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ถอดแว่นกันแดดบนใบหน้าออก และเผยรอยยิ้มกว้าง
อู่อันหร่าน ไม่สิ ตอนนี้ควรจะเรียกว่าแอนนาต่างหาก
"ซูฉิง ฉันกลับมาแล้ว"
อู่อันหร่านรู้ว่าเฉินจุนเหยียนกำลังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในขณะนี้ และในระหว่างที่เธอกำลังเดินทางไปยังสถานที่หนึ่งนั้น รถแท็กซี่ที่เธอโดยสารก็ได้เปิดรายการวิทยุรายการหนึ่งขึ้นมาซึ่งรายการนั้นกำลังพูดถึงเรื่องราวของเเฉินจุนเหยียน
เมื่อเธอนึกถึงเฉินจุนเหยียน แอนนาก็เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว เธอรีบตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลและเดินเข้าไปถามกับทางพยาบาลประจำโต๊ะว่าห้องพักของผู้ป่วยชื่อเฉินจุนเหยียนไปทางไหน
เมื่อเธอเดินเข้าไปหยุดอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วย เธอก็พบว่าประตูห้องถูกเปิดออกอยู่ครึ่งหนึ่ง เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังลั่นออกมายังด้านนอกประตู
แอนนามองดูภาพเหตุการณ์ในห้องพักผู้ป่วยนั้น เธอมองเห็นร่างของซูฉิงที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยและกำลังหั่นผลไม้ให้เฉินจุนเหยียนอยู่ และเฉินจุนเหยียนเองก็ยังคงมองเธอด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข
ดูเหมือนว่าหลังจากที่เธอจากไป ความรู้สึกของเฉินจุนเหยียนที่มีต่อซูฉิงจะไม่เปลี่ยนแปลงเลย...
เมื่อแอนนาเห็นภาพของคนสองคนที่กำลังมีความสุขอยู่นั้น เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้น เธอพยายามควบคุมอารมณ์โกรธให้เย็นลง เธอเดินเข้าไปหลบมุมเมื่อเห็นว่าซูฉิงกำลังจะเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย หลังจากที่เห็นร่างของซูฉิงเดินจากไปแอนนาก็มองตามอย่างไม่ละสายตาพลางกำมือแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์โมโห
เมื่อซูฉิงกลับจากโรงพยาบาลเธอก็คิดว่าควรขับรถกลับไปที่บริษัทเพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยก่อน
หลังจากขับรถไปได้ไม่กี่นาทีก็ปรากฏร่างของหญิงร่างบางคนหนึ่งที่พุ่งตัวเข้ามาบังหน้ารถเธอไว้ ในมือของหญิงสาวคนนั้นถือโทรศัพท์และดูกระตือรือร้นมาก ด้วยความรีบร้อนของเธอคนนั้น เธอจึงไม่ทันสังเกตุและได้ยินเสียงแตรของรถซูฉิงที่พยายามบีบเตือน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น