ทุกคนต่างประหลาดใจเมื่อได้ยินเขาเอ่ยออกมา
หลินเป้ยเหยามองฉู่โม่หยวนอย่างหวาดผวา เขาจะเก็บนางไว้ในวางเพื่ออะไรกันแน่
ด้วยความหวาดกลัวอย่างรุนแรง ในที่สุดหลินเป้ยเหยาก็หน้ามืดและหมดสติไปทันที
หลินเมิ่งหวันขมวดคิ้วนิดหนึ่งและรู้สึกงงงวยเล็กน้อย แต่นางก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรต่อหน้าทุกคน
ทั้งหลินเป้ยเหยาและหนานซื่อเวิ่นต่างไม่ใช่คนสำคัญอะไร ที่ฮ่องเต้กับฮองเฮาเสด็จมาหาเองเช่นนี้ก็นับว่าเป็นการให้เกียรติมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่จะต้องซักถามสิ่งใดอีก
เมื่อฉู่โม่หยวนบอกว่าจะสอบสวนเรื่องนี้เอง ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮาจึงไม่ได้โต้แย้งใดๆ
แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนได้ชื่นชมดอกซ่อนกลิ่นไปแล้ว และก่อนหน้านี้ก็กินอาหารเย็นแล้วด้วย ดังนั้นตอนนี้ทุกคนจึงไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในวังต่อแล้วจริงๆ
ฮ่องเต้ยังตรัสอีกว่าพระองค์ยังมีกิจในราชสำนักที่ต้องจัดการ ดังนั้นจึงขอเสด็จกลับไปก่อน
ฮองเฮาทรงเลือกสมาชิกจากครอบครัวขุนนางใหญ่มาสองสามคนมาเพื่อให้ประทานรางวัล จากนั้นจึงจัดเตรียมให้ทุกคนกลับออกไป
เพียงแต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หลินเมิ่งหวันไม่ได้อยู่ในกลุ่มของผู้ที่ได้รับพระราชทานรางวัล
ว่ากันตามเหตุผลแล้ว หลินเมิ่งหวันคือสะใภ้ที่ยังไม่ได้อภิเษกเข้ามาในราชวงศ์ วันนี้หลินเมิ่งหวันสังเกตเห็นความผิดปกติในอาหาร ทั้งยังรับรู้ถึงพิษดอกฉีหลัวจากตัวของหลี่กุ้ยเฟย นอกจากนี้ยังรักษาอาการให้ฮ่องเต้ ซึ่งนับว่านางทำคุณงามความดีไว้ไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของฉู่โม่หยวนหรือเพราะคุณงามความดีที่หลินเมิ่งหวันทำไว้ รางวัลในงานชมบุปผาคราวนี้นางก็สมควรได้รับส่วนแบ่งจริงๆ
แต่ฮองเฮากลับไม่ประทานรางวัลให้นาง เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮองเฮาจะไม่พอใจหลินเมิ่งหวัน
ภายในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ทว่าพวกเขาก็ไม่กล้าแสดงท่าทีออกมาเมื่ออยู่ในวัง แต่หลังจากออกมาแล้ว ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ถูกพูดกันไปมากมาย
หลินเมิ่งหวันไม่ได้แปลกใจกับการกระทำของฮองเฮา เพราะนางรู้อยู่แล้วว่าฮองเฮาไม่เคยถูกชะตากับนาง
นางเดินตามจางซื่อกับคนอื่นๆ ออกจากวังอย่างเป็นระเบียบ เมื่อขึ้นไปบนรถม้า หลินเมิ่งหวันจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกและรู้สึกเหมือนร่างแทบจะพังทลาย
แม้เฝ่ยชุ่ยกับเจินจูจะไม่ได้เข้าไปในวัง แต่พวกนางก็รออยู่นอกวังมาตลอด เมื่อเห็นหลินเมิ่งหวันเหนื่อยล้าเช่นนี้ พวกนางจึงรีบเข้าไปนวดให้หลินเมิ่งหวันและมองนางด้วยความห่วงใยและเอาใจใส่
หลินเมิ่งหวันเงยหน้ามองเฉินเซียง “เรื่องที่ให้เจ้าไปทำ เจ้าทำครบแล้วหรือ”
“ทำหมดแล้วเจ้าค่ะ” เฉินเซียงพยักหน้าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากหน้าอก จากนั้นจึงใช้สองมือยื่นมาตรงหน้าหลินเมิ่งหวัน “นี่คือสิ่งที่บ่าวได้มาเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าใช้ได้หรือไม่”
นัยน์ตาของหลินเมิ่งหวันเป็นประกายเล็กน้อยเมื่อเหลือบมอง จากนั้นนางจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าที่ทำจากผ้าแพรยื่นไปข้างๆ เฝ่ยชุ่ย “เจ้าดูนี่สิ”
เฝ่ยชุ่ยมองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอย่างงุนงง แต่หลังจากนั้นนางก็เห็นดอกเบญจมาศสีเงินดอกเล็กๆ ปักอยู่ที่มุมหนึ่งของผ้าเช็ดหน้า
เฝ่ยชุ่ยชะงักไปนิดหนึ่ง “นี่คือผ้าเช็ดหน้าของคุณหนูหนานหรือเจ้าคะ คุณหนู คุณหนูให้เฉินเซียงนำของแบบนี้มาทำไมหรือเจ้าคะ”
หนานมู่ชิงมักจะประกาศตัวว่าตัวเองเป็นเหมือนดอกเบญจมาศ ทั้งยังเอาแต่พูดทั้งวันว่ายอมเหี่ยวตายอยู่บนต้นดีกว่าถูกลมเหนือพัดปลิวลงมา ดังนั้นบนข้าวของของนางจึงมักจะมีภาพดอกเบญจมาศติดอยู่
ทุกคนรู้ดีเรื่องความชอบของหนานมู่ชิงและไม่ยอมให้ตัวเองอับอายไปด้วย ถึงอย่างไรถ้ามาเจอกับหนานมู่ชิง พวกนางก็ต้องถูกเอามาเปรียบเทียบอยู่ดี
ดังนั้นสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงจึงค่อยๆ เลิกใช้ลายดอกเบญจมาศ และดอกเบญจมาศก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของหนานมู่ชิง
หลินเมิ่งหวันยิ้มจางๆ “แน่นอนว่ามันจะบังเกิดผลอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้ารับผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ไปและนำติดตัวไปด้วย ไม่แน่สักวันหนึ่งเจ้าอาจจะได้ใช้มันก็ได้”
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องเสื่อมเสียที่หลินเป้ยเหยาก่อในคืนนี้ คืนนี้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้คงจะถูกใช้ไปแล้ว ตอนนี้หลินเมิ่งหวันอดไม่ได้ที่จะกังวล หนานมู่ชิงจะรู้หรือไม่ว่ามีจี้หยกไป่ฝูของหลี่จิ่นซูติดไปกับนางด้วย
“เจ้าค่ะ” เฝ่ยชุ่ยตอบ จากนั้นจึงรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นไปพับไว้อย่างเรียบร้อยและยัดใส่ในปกคอเสื้อ
หลินเมิ่งหวันเงยหน้าขึ้นมองฉู่โม่หยวนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย “จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ย พระองค์จะพาหม่อมฉันไปดูการแสดงที่ไหนหรือเพคะ”
ฉู่โม่หยวนแย้มริมฝีปากเล็กน้อย “ไปถึงแล้วก็จะรู้เอง”
“ไป!” ฉู่โม่หยวนลงแส้ม้าอีกครั้ง ทำให้ม้าห้อตะบึงออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเมิ่งหวันก็มองเห็นฉากแสงสียามค่ำคืน
หางตาของหลินเมิ่งหวันกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นหอมของสตรีที่พัดโชยมา นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉู่โม่หยวนจะพานางมาที่หอจุ้ยหง
ฉู่โม่หยวนพาหลินเมิ่งหวันไปที่ประตูหลัง ทันทีที่เข้าไปข้างในนางจึงเห็นว่าเสวียนยีรออยู่ที่นี่ก่อนแล้ว
“เจ้านาย ทุกอย่างเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่โม่หยวนพยักหน้าและจับมือหลินเมิ่งหวันเดินเข้าไปยังเรือนเล็กๆ ในหอจุ้ยหง
หลินเมิ่งหวันรู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง ในที่สุดหลังจากเข้ามาข้างใน นางจึงเห็นหลินเป้ยเหยานอนอยู่บนพื้น
นางรู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแค่เหลือบมองนิดเดียว นางก็เห็นได้ทันทีว่าสภาพของหลินเป้ยเหยาดูผิดปกติมาก
เวลานี้หลินเป้ยเหยาถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา และปากของนางก็ถูกอุดปิดไว้แน่น แต่ถึงกระนั้นหลินเมิ่งหวันก็ยังได้ยินเสียงร้องอู้อี้ของหลินเป้ยเหยา
นอกจากนี้ผิวกายส่วนที่เผยให้เห็นได้ยังกลายเป็นสีแดงเข้ม เหงื่อกาฬไหลท่วมตัว
นางดิ้นรนไม่หยุด แต่เพราะถูกเชือกมัดไว้ หลินเป้ยเหยาจึงทำได้เพียงดิ้นขยุกขยิกอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้มไม่หยุด
หลินเมิ่งหวันหันกลับไปมองฉู่โม่หยวน “นี่คือการแสดงที่จิ่งอ๋องเตี้ยนเซี่ยจะให้หม่อมฉันดูหรือเพคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก