เครื่องแต่งกายสีแดงสด ทั้งน้ำเสียงที่เย้ายวนใจ รวมไปถึงเค้าโครงหน้าอันน่าทึ่ง และความเหลาะแหละที่ฉายชัดอยู่ในแววตาและคิ้ว
หากไม่ใช่ฟู้เซียนแล้วจะเป็นใครได้อีก?
ซูเมิ่งเยียนจ้องมองเขา ด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าหาญชาญชัยมากถึงเพียงนี้ เขากล้าที่จะใช้วิชาตัวเบาในพระราชวังเช่นนี้ ไม่กลัวถูกคนคิดว่าเป็นนักฆ่าแล้วโดยตีตายหรืออย่างไรกัน?
"เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?" นางขมวดคิ้ว และถามอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นฟู้เซียนก็เลิกคิ้วพลางกล่าว "ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์ ข้าช่วยเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ข้าก็ยังไม่ได้ยินคำขอบคุณจากเจ้า ครั้งที่สองที่ช่วยเจ้า ก็ไม่คิดว่าเจ้าจะไม่มีสามัญสำนึกถึงเพียงนี้ เจ้านี่...ไม่มีคราบความเป็นคนเลยจริง ๆ!" ขณะที่พูด เขาก็ส่ายหัวไปด้วยเล็กน้อย
ซูเมิ่งเยียนชะงักไปครู่หนึ่ง ครั้งแรกที่ช่วยนางไว้ก็ไม่ผิด แต่ก็เห็นได้ชัดว่ารถม้ามาเหยียบย่ำนางเป็นของเขา และในครั้งนี้...เดิมทีแล้วนางก็ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือของเขาเลย หากเขาไม่ปรากฏตัวออกมา นางก็คงจะไม่ต้องตกใจ จนถูกพบเห็น!
"แม่นางฟู้เซียน ความผูกพันในการเป็นวีรบุรุษของเจ้านั้นหนักหนาเกินไปแล้ว" นางโต้กลับ
ทันทีที่ฟู้เซียนได้ยินคำว่า "แม่นาง" ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็หรี่เล็กลง นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีคนเยาะเย้ยถากถางรูปร่างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และก่อนหน้านี้เขาเคยเจอคนที่บอกว่างดงามมากกว่าสาวน้อยเสียอีก ซึ่งคนเหล่านั้นต่างก็ถูกปิดปากเงียบไปหมดแล้ว
"ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่เป็นหวงแหนชีวิตของเจ้าเอาเสียเลยนะ ครั้งที่แล้วก็โยนต้นหอมมาใส่ข้าคนนี้ และครั้งนี้ก็เป็นเช่นนี้อีก..." ขณะที่ฟู้เซียนกล่าวอย่างเย็นชา แววตาของเขาก็ค่อย ๆ จ้องมองไปที่คิ้วและดวงตาของนาง จากนั้นก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย "เหตุใดทุกครั้งที่ข้าเจอเจ้า เจ้าถึงได้ดูหน้าแก่เช่นนี้ตลอดเลย?"
"อะไรนะ?" ซูเมิ่งเยียนงุนงงไปชั่วขณะหนึ่ง
"ยัย หน้า แก่" ฟู้เซียนกล่าวอธิบายทีละคำอย่าง "ตั้งใจ" "หน้าตาดูเหมือนว่าอยากจะร้องไห้ แต่ก็เหมือนคนแก่ที่ระบายไม่ออกอย่างนั้นแหละ"
อยากจะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก อยากจะระบายออก...
ซูเมิ่งเยียนรู้สึกอึดอัดไปชั่วขณะ และมุมปากของนางก็กระตุกขึ้น "ข้าจะเป็นอย่างไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?"
"แน่นอนว่ามันไม่เกี่ยวกับข้า" ฟู้เซียนส่ายศีรษะ จากนั้นก็ถอยออกไปครึ่งก้าวแล้วมองมาที่เครื่องแต่งกายของนางอย่างพินิจพิเคราะห์ "เมื่อครู่นี้ข้าเห็นเจ้านั่งอยู่ข้างผู้ชายคนหนึ่ง เพราะเหตุใด? ผู้หญิงอย่าเจ้ายังมีคนเอาหรือ..."
คำพูดของเขาหยุดลงในทันที
พวงแก้มของซูเมิ่งเยียนเป็นราวกับไข่ห่าน ทั้งอวบอิ่มและขาวหมดจด เป็นเรื่องที่ง่ายดายมากที่คนธรรมจะคิดว่านางยังไม่ได้แต่งงาน แม้ว่านางจะเปลี่ยนเป็นทรงผมก็ตาม
"มีผู้ชายต้องการเจ้าจริง ๆ อย่างนั้นหรือ" ฟู้เซียนส่งเสียงบ่นพึมพำ จากนั้นก็จับไปที่แขนเสื้อของนาง และดึงมวยผมที่อยู่บนศีรษะของนาง "ช่างล้ำค่าเสียจริง เจ้าแต่งงานแล้วจริง ๆ หรือ?"
"แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย!" ซูเมิ่งเยียนก็ยังคงพูดประโยคเดิม
"หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ข้าว่าจะเยาะเย้ยชายนั้นเสียหน่อย ว่าเหตุใดถึงได้ตาบอดจนมาถึงจุดนี้ได้!"
"เจ้า..." ซูเมิ่งเยียนโมโห มันเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ทุกคนต่างก็รู้สึกว่านางไม่คู่ควรกับมู่เสี่ยว ถึงแม้ว่าจะข่มอารมณ์โกรธไว้ยางเพียงใดก็ตาม แต่ก็ทำได้เพียงแค่เงียบไว้
"เหตุใดถึงไม่พูดแล้วล่ะ?" เห็นนางนิ่งเงียบไป ฟู้เซียนกลับถามนางขึ้นมาแทน
"พูดอะไรกันกัน?" ซูเมิ่งเยียนคิดที่จะเอ่ยปากต่อ แต่ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ จากนั้นก็เหลือบมองเขาอย่างแปลกประหลาด "เจ้าไม่รู้จักข้าหรือ?"
อดีตนางเป็นลูกสาวของตระกูลซูที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้อย่างอิสระ นางเป็นหญิงสาวที่บีบบังคับให้ท่านอ๋องแต่งงานด้วย คนผู้นี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
"ข้าไม่รู้ชื่อแซ่ของเจ้า เจ้าเกิดมาได้ขี้เหร่ถึงเพียงนี้ เหตุใดข้าถึงต้องเคยได้ยินเรื่องของเจ้าด้วย?" ฟู้เซียนเริ่มมีความสนใจขึ้นมา
ขี้เหร่...
ซูเมิ่งเยียนอดทนต่อความโกรธภายในใจของนาง และหมุนตัวเตรียมที่จะเดินกลับเข้าไปในงานเลี้ยง อีกเดี๋ยว มู่เสี่ยวก็น่าจะกลับมาแล้ว
"ข้ารู้แล้ว!" ทันใดนั้นข้างหลังก็มีเสียงร้องอุทานขึ้นมา
ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้ว และไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
"ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์" แต่ทว่าฟู้เซียนรีบเดินมาอยู่ข้างกายนางอย่างรวดเร็ว "ข้าจะว่าอย่างไรดี เมื่อครู่จ้ารู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างมาก หรือว่าแท้จริงแล้วเจ้าจะเป็นหวางเฟยหย่งอัน?"
หวางเฟยหย่งอัน
ฝีเท้าของซูเมิ่งเยียนหยุดชะงักไป ทุกคนต่างก็รู้ มีเพียงแค่เขาที่ไม่ยอมรับเท่านั้นแหละ
"เจ้าจำผิดคนแล้ว" นางตอบกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
"เป็นไปไม่ได้หรอก" ฟู้เซียนเดินเคียงข้างนาง ไม่ว่านางจะใช้แรงเดินมากเพียงใด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคงสงบและผ่อนคลาย "เพียงแต่ ไม่ว่าผู้ใดที่ได้เห็นท่วงท่าอันสง่างามของอ๋องหย่งอัน ต่างก็ไม่มีทางดูความเกี่ยวข้องของเขาและเจ้าออกหรอก เรื่องที่เจ้าละอายใจนั้นก็ถือว่าสมควรแล้ว"
หัวใจของซูเมิ่งเยียนแข็งทื่อ และจ้องเขม็งไปที่เขา ถึงแม้ว่าผู้อื่นจะคิดเช่นนั้นก็ตาม แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดเปิดเผยมันออกมาต่อหน้านางเลย มีเพียงแค่เขา แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา และเดินตรงไปข้างหน้าอีกครั้ง
"หากจะให้ข้าพูด" แต่มีคนที่ดันไม่ดูตาม้าตาเรือเสียอย่างนั้น ทั้งยังคงอยู่ข้างนางและพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า "หญิงสาวที่อยู่ในศาลาเมื่อครู่นี้ ที่ยืนอยู่ด้วยกันกับอ๋องหย่งอันนั่นถึงจะเรียกว่าเหมาะสม เป็นกิ่งทองใบหยก ช่างเป็นบุพเพสันนิวาสเสียจริง..."
ซูเมิ่งเยียนหยุดฝีเท้าลงทันที จากนั้นก็จ้องมองไปยังทางเดินของวังที่มืดสลัว
ใช่แล้ว แม้แต่สายตาของคนนอก ต่างก็รู้สึกว่ามู่เสี่ยวและฮัวหย้วนเป็นบุพเพสันนิวาสต่อกัน และมันก็ไม่ใช่นาง
"ที่ข้าพูด ท่าทางเช่นนี้ของเจ้า คงจะไม่ร้องไห้หรอกใช่หรือไม่?" ฟู้เซียนจ้องมองไปที่นางอย่างตกใจ "หากว่าใช่แล้วละก็ เจ้านี่ช่างควรจะได้ฉายา "ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์" จริง ๆ"
หมัดทั้งสองข้างของซูเมิ่งเยียนกำแน่น แล้วหันหน้าไปมองที่ฟู้เซียน "เจ้าต่างหากที่อยากร้องไห้ อยากร้องไห้ทั้งครอบครัวของเจ้านั่นแหละ!" หากยากที่จะไม่หลงเหลือความยับยั้งชั่งใจและถูกครอบงำเช่นนี้
ฟู้เซียนเลิกคิ้ว จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าวว่า "ขอโทษด้วย ข้าไม่มีพ่อแม่"
ซูเมิ่งเยียนตกใจครู่หนึ่ง
"ยิ่งไปกว่านั้น" ทันใดนั้นฟู้เซียนก็หัวเราะออกมา เขาส่ายศีรษะพร้อมรอยยิ้มพลางกล่าวว่า "ถึงว่าข้าจะร้องไห้จริง ๆ ข้าก็คงจะดูดีมากกว่าเจ้าเป็นเท่าอยู่ดี"
ซูเมิ่งเยียน "..."
หลังจากที่ผ่านไปนาน นางก็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วจ้องมองไปที่ฟู้เซียน "คุณชายฟู้เซียน" น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
"อ่ะหะ"
"เจ้าเคยโดนผู้หญิงทุบมาก่อนหรือไม่?" นางถาม
ฟู้เซียนขมวดคิ้วมุ่น "อืม..."
ก่อนที่จะพูดจบ ก็รู้สึกถึงหมัดของหญิงสาวที่หน้าอกและช่องท้องของเขา มันไม่คลุมเครือเลยแม้แต่น้อย การโจมตีเข้ามาที่ท้องล่างของเขาโดยตรง ถึงแม้ว่ามันจะไม่เจ็บมากนัก แต่ทว่าเขาก็ยังงอตัวลงมากกว่าปกติ
"นี่เป็นเพียงแค่บทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น" ซูเมิ่งเยียนตะคอกออกมาเบา ๆ และหดกำปั้นของนางกลับมา จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า
เบื้องหลัง ฟู้เซียนจ้องมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่สาวเท้าไปข้างหน้า แล้วลูบท้องตรงบริเวณที่นางต่อยมาเมื่อครู่นี้ มันเป็นครั้งแรกที่ถูกคนต่อยเช่นนี้ หวางเฟยหย่งอันเช่นนั้นหรือ?
อ๋องหย่งอันผู้นั้นฉลาดหลักแหลมจนผู้อื่นไม่สามารถที่จะตรวจสอบอะไรออกได้ แม้แต่หวางเฟยก็ยังน่าสนใจถึงเพียงนี้
เพียงแต่เมื่อเห็นท่าทางของอ๋องหย่งอัน กลับไม่ได้ให้ความสนใจต่อหวางเฟยคนนี้เลยแม้แต่น้อย...
อีกด้านหนึ่ง ดุเหมือนว่าจะมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ใบหูของฟู้เซียนขยับเล็กน้อย และมองไปข้างหลังอย่างกะทันหัน และได้ยินเพียงแค่เสียงเสื้อที่ปลิวไสวเท่านั้น และดูเหมือนว่ากำลังจะตรงไปหาหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้านี้
หลังจากครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง เขาจึงเขย่งเท้าเล็กน้อย เพื่อก้าวไปข้างหน้าและคว้าตัวหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลเท่าไรนักนั้นไว้ และไปยังมุมกำแพง
"เอ๊ะ..." ซูเมิ่งเยียนอุทานออกมาอย่างตกใจ และร่างของนางก็ถูกกดแน่นไว้อยู่มุมหนึ่ง "เจ้าทำอะ..."
"ชู่ว์!" ฟู้เซียนเหลือบมองไปด้านข้าง จากนั้นร่างสูงโปร่งก็ค่อย ๆ ร่อนลงตรงที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นี้ รู้สึกคุ้นเคยอยู่เล็กน้อย และเขาก็หรี่ตามองอีกครั้ง
ดวงตาทั้งคู่ของซูเมิ่งเยียนเบิกโพลง และไม่กล้าที่จะส่งเสียง ที่นี่คือพระราชวัง อย่าว่าแต่นางเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเลย หากถูกคนเห็นเขาว่านางอยู่ด้วยกันกับฟู้เซียน เกรงว่าพูดอะไรไปก็ไม่ชัดเจนอีกแล้ว
ไม่รู้ว่านานเท่าไร ในที่สุดที่นั่นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว ซูเมิ่งเยียนผลักฟู้เซียนออกและจะเดินออกไป การแสดงออกเช่นนั้น ราวกับว่ารังเกียจเขาอย่างนั้นแหละ
ฟู้เซียนเลิกคิ้ว "ยัยผู้หญิงอัปลักษณ์ คุณชายอย่างข้าช่วยเจ้าถึงสามครั้งแล้วนะ!"
ซูเมิ่งเยียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "บ่อเกิดแห่งภัยพิบัติก็คือเจ้านั่นแหละ ยังจะต้องขอบคุณเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ..."
ทันใดนั้น คำพูดของนางก็หยุดลงทันที
นางมองร่างที่เดินเลี้ยวออกมาจากทางเดินด้านข้างของพระราชวังอย่างตกใจ คนที่สวมชุดงูเหลือม ร่างสูงตระหง่าน คิ้วและดวงตาที่เย็นยะเยือกอยู่ใต้แสงจันทร์ ในเวลานี้เขาจ้องมองมาที่นาง...รวมไปถึงฟู้เซียนที่อยู่ด้านหลังของนางด้วย
มู่เสี่ยว
สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์พลางกล่าวว่า "พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน