อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 71

ซูเมิ่งเยียนไม่ชอบชุดราชการที่ดูเทอะทะและหรูหรา ซึ่งต้องสวมใส่เสื้อผ้าเป็นชั้น ๆ บนร่างกาย ซึ่งมันสวยแต่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น

แต่ทว่าการเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังต้องทำเช่นนี้เพียงเท่านั้น

ช่างแต่งหน้าทาแป้งเรียบร้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ  และชิวซวงก็ได้สวมผ้าคาดเอวให้กับนาง จากนั้นก็จ้องมองหญิงสาวที่อยู่ภายในกระจกทองสัมฤทธิ์ "คุณหนูแต่งองค์ทรงเครื่องเช่นนี้แล้วงดงามมากเลยเจ้าค่ะ"

ซูเมิ่งเยียนชำเลืองมองเข้าไปในกระจกทองสัมฤทธิ์ อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าไม่คุ้นเคย เนื่องจากนางมีประสบการณ์เหล่านี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว จะไม่คุ้นเคยได้อย่างไรกัน?

"คงจะมีเพียงแค่เจ้าที่คิดเช่นนี้..." นางกล่าวอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก

"ท่านอ๋องมาแล้วเป็นแน่" ชิวซวงกระซิบบอก จากนั้นก็มาจัดระเบียบปิ่นพวงทองบนศีรษะของนาง และจัดชายกระโปรงที่ลากพื้นให้เรียบร้อย

หลังจากจัดการทั้งหมดนี้แล้ว ก็ได้มีเสียงตอบกลับมาที่ประตู

"หวางเฟยสามารถ..." น้ำเสียงของมู่เสี่ยวชะงักงั้นไปเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่ของซูเมิ่งเยียนได้ถูกแต่งแต้มให้เป็นรูปแบบที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองหลวงตอนนี้ แววตาที่สั่นไหวราวสายน้ำต้องมองมา มันทำให้ภายในหัวใจของเขาหยุดนิ่ง และมันก็กลับไปเงียบสงบได้อย่างรวดเร็ว "ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดีแล้ว"

"เจ้าค่ะ" ซูเมิ่งเยียนพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็มองไปที่มู่เสี่ยวเช่นกัน เขาใส่ชุดปักลายงูเหลือมสีดำ มงกุฎสีดำบนหน้าผากสั่นไหวเล็กน้อยตามการเคลื่อนไหวของเขา ซึ่งให้ความรู้สึกราวบุรุษผู้งดงามดั่งหยก จะมีก็เพียงแต่คิ้วที่ขมวดเล็กน้อยเท่านั้น ที่ทำให้เพิ่มบรรยากาศของคนมองโลกในแง่ร้ายขึ้นมาทันที เขาเป็นคนดูดีอยู่เสมอ และนางก็รู้มานานแล้ว "ท่านอ๋องมารับข้าด้วยตนเองช่างรบกวนยิ่งนัก"

นางหลุบสายตาลง จากนั้นก็ทักทายด้วยเสียงทุ้มต่ำ

มู่เสี่ยวขมวดคิ้วมุ่น แต่กลับไม่ได้พูดอะไรสักคำ จากนั้นก็ถอยไปด้านข้างเพื่อให้มีที่ว่างข้างกายเขา

ทั้งสองเดินเคียงข้างกันออกไปข้างนอก สายตาของซวนหยวนที่อยู่ด้านข้างดูตกใจเล็กน้อย มีชั่วขณะหนึ่ง รู้สึกขึ้นมาว่าทั้งสองท่านเหมาะสมราวกับสวรรค์สรรสร้างอย่างไรอย่างนั้น หากว่า...พวกเขาไม่แสดงสีหน้าที่ไร้อารมณ์ออกมาแล้วละก็

เมื่อขึ้นมาบนรถม้า บรรยากาศเงียบสนิท ซูเมิ่งเยียนหลับตาทั้งสองลง นางตื่นมาจัดการตนเองตั้งแต่เช้าตรู่ ฉะนั้นจึงเหนื่อยล้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

"คิดไม่ถึงเลยว่าหวางเฟยจะแต่งด้วยความเอาใจใส่ถึงเพียงนี้" มู่เสี่ยวที่อยู่ด้านหน้าส่งเสียงฮึดฮัดออกมา

"ท่านอ๋องสังเกตเห็นแล้ว ช่างเป็นเกียรติของข้าจริง ๆ" ซูเมิ่งเยียนพูดอย่างทีเล่นทีจริง อย่างไรก็ตามเมื่อถึงงานเลี้ยงในวัง ความสนใจของเขาก็จะไม่ได้อยู่ที่นางอีกต่อไปแล้ว

ชีวิตที่แล้วเป็นนางเองที่โง่เง่า คิดว่าเขาถูกคนเหน็บแนมว่าเป็น "อ๋องแห่งความเกียจคร้าน" เช่นนั้นทุกครั้งที่มางานเลี้ยงของพระราชวังจึงได้ดูหดหู่ใจเป็นอย่างมาก ต่อมาถึงได้รู้ว่า เป็นเพราะเขาได้เห็นฮัวหย้วนที่แต่งองค์ทรงเครื่องนั่งอยู่บนพระที่นั่งต่างหาก เขาถึงได้หดหู่ใจถึงเช่นนั้น

เมื่อเจอกับการตอบโต้ที่มีไหวพริบ มู่เสี่ยวก็ต้องขมวดคิ้วเล็กน้อย และไม่ได้พูดอะไรอีกเลย จากนั้นรถม้าก็ค่อย ๆ เดินทางไปยังพระราชวัง

วันนี้พระราชวังได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา องครักษ์ทั้งหมดต่างก็รออยู่ภายนอกของประตูพระราชวัง และไม่ว่าจะมีตำแหน่งใดก็ตามจะต้องลงจากรถม้า และเดินเข้าไปเท่านั้น 

ขุ่นนางขุนพลทหารและเหล่าภรรยาอย่างเป็นทางการมากมาย ที่หลังจากทักทายกันแล้ว ก็เดินตรงเข้าไปในพระราชวัง

"น้องเจ็ดวันนี้มาได้ตรงเวลาเสียจริงเลยนะ" ด้านหลัง มีเสียงดังขึ้นมา เดิมทีแล้วเป็นเสียงที่เสียงดังกังวานสดใส แต่ส่วนปลายของน้ำเสียง มักจะทำให้รู้สึกถึงความเจ้าเล่ห์ได้อยู่เสมอ

ซูเมิ่งเยียนหันไปมองตามเสียง จากนั้นก็หลุบตาลงเพื่อซ้อนความประชดประชันในแววตา

องค์ชายรัชทายาทมู่หนิ่ง เป็นอย่างที่ซูเจียงไห่ได้กล่าวไว้ทั้งหมด เขาเอาแต่ใจตนเองมากเกินไป ความแข็งแกร่งของเบื้องหลังไม่อาจหยุดยั้งโชคชะตาของตนเองได้ ชีวิตที่แล้วเขาได้ถูกใครบางคนยั่วยุให้ไปบีบบังคับฮ่องเต้สละบัลลังก์ และได้ถูกมู่เสี่ยวตามจับกุมด้วยชื่อที่ว่า "กำจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้" เขาได้ถูกจับขังคุก แล้วไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย

"คารวะเสด็จพี่" มู่เสี่ยวหลุบตาต่ำลง และกล่าวทักทายเช่นกัน

ซูเมิ่งเยียนก็โค้งตัวอวยพรเช่นกัน "คารวะเสด็จพี่"

"น้องชายน้องสะใภ้รีบลุกขึ้นเถิด" มู่หนิ่งยื่นมือมาประคองนาง ภายในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความประชดประชัน "น้องสะใภ้ร่างกายอ่อนแอ จะมากพิธีไปได้อย่างไร นอกจากนี้...ยังเป็นถึงหวางเฟย แต่กลับไม่ได้เพลิดเพลินกับความโปรดปรานของสามี..." ขณะที่พูด ก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

ตัวของซูเมิ่งเยียนยืนตรง และต้องเข้าใจความหมายของมู่หนิ่งแน่นอนอยู่แล้ว

คิดว่า เขาก็คงจะได้ยินข่าวลือระหว่างมู่เสี่ยวและฮัวหย้วนมาบ้างเช่นเดียวกัน

"เสร็จพี่ตรัสผิดแล้วเพคะ" ซูเมิ่งเยียนหรี่ตาของนางแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน นางเอื้อมมือออกไป แล้วจับมือของมู่เสี่ยวเอาไว้ "สามีของหม่อมฉันปฏิบัติต่อหม่อมฉันเป็นอย่างดีเพคะ"

มือของมู่เสี่ยวเคลื่อนไหวเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วก็ปล่อยให้นางจับ และไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

สีหน้าของมู่หนิ่งเปลี่ยนไปอย่างมาก เพียงไม่นานก็หัวเราออกมายกใหญ่ "ความทุกข์ยากภายใน ดั่งคนดื่มน้ำ เย็นร้อนรู้เอง ในเมื่อน้องสะใภ้กล่าวเช่นนี้ อย่างนั้น...เข้าไปในวังกันเถอะ" พูดจบ ก็หมุนตัวเดินเข้าไปในพระราชวังพร้อมกับหญิงสาวข้างกายทันที

ซูเมิ่งเยียนจ้องมองไปที่แผ่นหลังของคนผู้นั้น หากไม่ได้มีตำแหน่งสูงอย่างองค์ชายรัชทายาท ก็เป็นได้เพียงหนุ่มเจ้าสำราญเท่านั้นแหละ

นางหลุบตาลง แต่สุดท้ายแล้วคนที่อยู่ข้างกายก็ยังไม่ขยับไปไหน แววตาราวกับจ้องมองอะไรบางอย่าง

จากนั้นจึงได้มองตามสายตาของเขาไป ทันทีที่ซูเมิ่งเยียนเห็นว่ามือของตนเองยังจับมือเขาอยู่ ก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาด จนต้องปล่อยมือออกอย่างรวดเร็ว

คิ้วของมู่เสี่ยวขมวดมุ่น ริมฝีปากบางเม้มเล็กน้อย และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความเย็นช้า "เข้าวังเถอะ"

...

งานเลี้ยงในพระราชวังในครั้งนี้จัดอย่างหรูหราเป็นอย่างมาก

พรมสีแดงขนาดใหญ่ที่เป็นเครื่องราชบรรณาการจากต่างแดน เริ่มมาตั้งแต่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน และปูกระจายไปทั่วทางเดินพระราชวัง ที่คดเคี้ยวไปมาทั่วงานเลี้ยงของพระราชวัง ทั้งสองข้างทางถูกแคว้นไปด้วยโคมไฟงดงามวิจิตรตระการตา และได้สะท้อนแก่กันและกันจนภายในพระราชวังสว่างไสว

ทางเข้าของงานเลี้ยงพระราชวัง มีเชิงเทียนที่งดงามหรูหราตั้งอยู่สองอัน ที่เชิงเทียนมีแก้วถูกครอบไว้อยู่ด้านบน ทำให้มีสีสันที่หลากหลายเป็นอย่างมาก

เมื่อซูเมิ่งเยียนและมู่เสี่ยวทั้งสองคนเดินเข้าไปในงานเลี้ยง ภายในก็มีเหล่าขุนนางมารวมตัวกันอยู่ไม่น้อยแล้ว ด้วยที่นางมีประสบการณ์จากชีวิตที่แล้ว ทำให้ซูเมิ่งเยียนกล่าวทักทายทุกคนได้อย่างไม่รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด มีเพียงแค่กล่าวทักทาย และมีรอยยิ้มฉายอยู่บนใบหน้า จนทำให้เหนื่อยอย่างเลี่ยงไม่ได้

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดก็มีเสียงประกาศดังขึ้น "ฮ่องเต้เสร็จแล้ว ฮ่องเฮาเสร็จแล้ว พระสนมกุ้ยเฟยเสด็จแล้ว..."

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงตีกลองก็ดังขึ้น จากนั้นเสียงของเครื่องดนตรีคงโหวและอีกมากมายก็ตัดขึ้นตามมาติด ๆ

ฮ่องเต้เดินนำหน้ามา ข้างกายทั้งสองตามมาด้วยฮ่องเฮาและฮัวหย้วนที่เดินตามมา จากนั้นก็ตรงไปนั่งที่ที่นั่งหลัก

ขุนนางทั้งหลายต่างทำความเคารพ และสรรเสริญของให้มีพระชนมายุนานนับพันนับหมื่นปี และขอให้ฮ่องเต้เกษมสําราญ และดูเหมือนว่าร่างกายที่อ่อนแอก็จะดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว จากนั้นก็หยิบแก้วเหล้าขึ้นมา "เหล่าขุนนางที่รักทุกท่าน วันนี้ เราจะไม่หารือเรื่องงานราชการ และมาเพลิดเพลินไปกับงานเลี้ยงเท่านั้น เมื่อข้าดื่มเหล้าจอกนี้ ก็หวังให้ขุนนางทุกคน ร่วมยินดีในวาระยิ่งใหญ่นี้... "

หลังจากจบการกล่าวสุนทรพจน์อันยอดเยี่ยม งานเลี้ยงในพระราชวังก็เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็มีนางรำเข้ามาร่ายรำไปตามเสียงดนตรีอย่างครึกครื้น

ซูเมิ่งเยียนเหลือบมองตาของนางไปครึ่งหนึ่ง แล้วมองดูสาวงามที่ร่ายรำเหล่านั้น ขณะนี้ ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนกำลังจ้องมองนางอยู่

นางเงยหน้าขึ้น แล้วมองผ่านไปอย่างสงบเสงี่ยม ไม่คาดคิดเลยว่าจะสบเข้ากับแววตาของฮัวหย้วน

หลังจากที่ใบหน้าของนางหายเป็นปกติแล้ว ก็ได้จ้องมองมาที่ทางในขณะนี้ โดยที่ไม่ได้รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพยักหน้าและยิ้มน้อย ๆ มาให้นางอีกด้วย สุดท้ายแล้ว สายตาก็มาหยุดอยู่ที่ข้างกายของนาง

ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วถอนสายตากลับมา แต่กลับเห็นสายตาของมู่เสี่ยวที่กำลังมองไปที่ยังพระที่นั่งอย่างรวดเร็ว

หัวใจของนางแข็งทื่อ แต่ก็หัวเราะออกมาอย่างรวดเร็ว หยิบแก้วเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ชีวิตที่แล้วของนางเชื่องช้ามาก เหตุใดถึงค้นพบได้ช้าถึงเพียงนี้?

จอกเหล้าในงานเลี้ยงพระราชวังมีขนาดเล็กมาก ทำให้ได้จิบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซูเมิ่งเยียนหยิบจอกเหล้าแล้วดื่มมันลงไปอึกหนึ่ง จากนั้นก็เติมจนเต็ม แล้วดื่มไปสามจอกติดต่อกัน ทันใดนั้นก็ถูกแขนของใครบางคนขวางไว้

เมื่อหันหน้าไป ก็เห็นมู่เสี่ยวที่ขมวดคิ้วมุ่นอยู่เบื้องหน้า

"สำหรับคนอื่น ท่านอ๋องมักที่จะไม่มีความอดทนเสมอเลยนะเจ้าคะ" ซูเมิ่งเยียนพูดอย่างติดตลก ในมือก็ถือจอกเหล้าไว้ ไม่ยอมคลายเลยแม้แต่น้อย

มู่เสี่ยวตกใจมาก

แต่ทว่าในขั้นนี้ มีเสียงที่แหบพร่าที่น่าพึงพอใจเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากประตูทางเข้า  "สายลมทางหนึ่ง หิมะทางหนึ่ง หัวใจที่แตกสลายและความฝันไม่อาจเป็นจริงได้..."

น้ำเสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยน ได้ถูกขับร้องออกมาจากปากของชายคนหนึ่ง ที่มีเสน่ห์มากเป็นพิเศษ

ซูเมิ่งเยียนผงะไปเล็กน้อย รู้สึกเพียงแต่ว่าเป็นน้ำเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง

แต่กลับเห็นเป็นชายที่สวมชุดสีแดงเข้มคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในงานเลี้ยงของพระราชวัง น้ำเสียงนั้นค่อย ๆ เข้าไปภายในหู

เมื่อเห็นหน้าตาของเขาอีกครั้ง หน้าตาที่สะดุดตา และงดงามอย่างไม่มีใครเปรียบได้แห่งยุค

มันคุ้นตามากจริง ๆ 

ทันทีที่ซูเมิ่งเยียนคลายมือออก มู่เสี่ยวก็ไม่คาดคิดว่านางจะคลายมือออกอย่างกะทันหันเช่นนี้ จอกเหล้ากระแทกลงบนโต๊ะ และเสียงก็ดังไม่น้อยเลย แต่กลับไม่ได้สะดุดตาคนในงานเลี้ยงเท่าไรนัก

เพียงแต่ว่า ชายที่สวมชุดสีแดงเพลิงที่กำลังขับร้องอยู่ผู้นั้นค่อย ๆ เหลือบมองมาทางนี้อย่างตั้งใจ ทันทีที่เขามองเห็นซูเมิ่งเยียน ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็หรี่ลง

ซูเมิ่งเยียนก็ตื่นตะลึงไปเช่นกัน

คนผู้นี้...หากไม่ใช่คุณชายฟู้เซียนที่เกือบจะทำให้รถม้าวิ่งทับนางเมื่อไม่นานมานี้แล้วจะให้เป็นผู้ใดได้กันล่ะ?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน