อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 70

ในตอนที่กล่าวลากับซูเจียงไห่ ท้องฟ้าก็ยังคงสว่างอยู่

และซูเมิ่งเยียนก็ไม่ได้ออกกำลังมาเป็นเวลานานมากแล้ว ได้แต่อุดอู้อยู่ภายในบ้านมาหลายวัน นางจึงไม่ได้นั่งรถม้าของตระกูลซูกลับไป แล้วเดินกลับไปกับชิวซวงสองคน จากนั้นก็มองดูสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยู่ภายในตลาด

เพียงแต่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า ว่าตอนที่เพิ่งจะเลี้ยวออกมาจากหน้าตระกูลซูไป ก็มีใครคนหนึ่งมาเรียกชื่อนางเอาไว้ "เยียนเยียนหรือ?"

ซูเมิ่งเยียนชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อหันกลับไปก็เห็นเป็นเฉียวฉู่ที่สวมชุดสีเขียวยืนอยู่บนถนนเส้นนั้น แล้วยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน

"ท่านพี่เฉียวหรือ?" ซูเมิ่งเยียนก็รู้สึกตื่นตกใจเช่นกัน อีกประมาณครึ่งเดือนก็จะถึงเวลาการสอบฤดูใบไม้ร่วง แต่ทว่าเฉียวฉู่จะเปล่งประกายในการสอบครั้งนี้ แล้วช่วงนี้เขาควรจะเตรียมตัวอย่างตั้งใจ

"อืม" เฉียวฉู่พยักหน้าเล็กน้อย สิ่งที่เขาไม่ได้พูดก็คือ เรือนหนังสือของเขานั้นอยู่ติดกับจวนซู และข่าวที่คุณหนูใหญ่กลับมาที่จวน เขาก็ได้ยินเขาพูดกันมานานแล้ว สุดท้ายก็ไม่อาจอ่านม้วนหนังสือให้เข้าใจได้ แล้วทำได้เพียงแต่ฟังความเคลื่อนไหวที่อยู่ภายนอกเท่านั้น สุดท้ายแล้ว...ก็มาถึงตรงนี้จนได้ "ข้าว่ากำลังจะไปร้านหนังสือในเมืองอยู่พอดี เจ้าจะกลับจวนแล้วเช่นนั้นหรือ?" เขาถามอย่างสุขภาพ

"ใช่แล้ว" ซูเมิ่งเยียนพยักหน้าเล็กน้อย "วันนี้ข้ามาหาท่านพ่อ..."

"ดีเลย" เฉียวฉู่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า "แม้จะบอกว่าวันนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ แต่ทว่าฟ้านั้นมืดไวนัก เจ้ากับข้าจะไปทางเดียวกัน ให้ข้าได้ไปส่งเจ้าได้หรือไม่?" ถึงแม้ว่าจะเป็นคำถาม แต่ทว่ากลับเดินมาอยู่ข้างกายนางเสียแล้ว

ในตอนแรกนั้นซูเมิ่งเยียนรู้สึกอึดอัดอยู่ภายในใจเล็กน้อย แต่ทว่าเมื่อลองคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในถนนใหญ่นี้ไม่มีผู้ใดที่รู้จักนาง และมู่เสี่ยวก็ไม่ได้อยู่ภายในจวน เช่นนั้นเหตุใดถึงกลับไปด้วยกันไม่ได้?

เช่นนั้น จึงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วทั้งสองก็เดินเคียงข้างกันไปช้า ๆ

เฉียวฉู่ไม่ได้พูดผิดไปเลย ตอนนี้ท้องฟ้ามืดลงไวมาก ทั้งสองเพิ่งเดินมาได้เพียงครึ่งทาง ท้องฟ้าก็เริ่มที่จะมืดขึ้นมาแล้ว โรงเตี๊ยมทั้งสองข้างทางต่างก็พากันจุดประทีปส่องสว่างขึ้นมาแล้ว และมันก็ได้สะท้อนให้เห็นว่าเมืองหลวงนั้นเจริญรุ่งเรืองมากเพียงใด

"ทั่วทั้งดินแดนควรเป็นเช่นนี้..."เฉียวฉู่จ้องมองไปแสนไกล เขาเหล่ตาพลางทอดถอนหายใจออกมา

ซูเมิ่งเยียนเงยหน้าขึ้น แล้วจ้องมองตามสายตาของเขาไป จากนั้นจึงยิ้มเล็กน้อย "ท่านพี่เฉียวคงจะประหม่ากับการสอบฤดูใบไม้ร่วงใช่หรือไม่?"

"หื้ม?" เฉียวฉู่หันหน้ามามองด้วยความงุนงง

"น้อยมากที่ท่านจะทอดถอนหายใจเช่นนี้" ซูเมิ่งเยียนหยุดไปชั่วขณะหนึ่ง "ท่านพี่เฉียวอย่าได้กังวลไปเลย ท่าน...มีความรู้มากมาย การสอบฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้ จะต้องได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน"

"เช่นนั้น...ข้าก็ขอสมดั่งที่เยียนเยียนพูดมาก็แล้วกัน" เฉียวฉู่ก็หัวเราะตามด้วยเช่นกัน

ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไร แต่ทว่าจวนอ๋องก็อยู่เบื้องหน้านี้แล้ว เฉียวฉู่ค่อย ๆ ชะลอความเร็วของฝีเท้าลง จนกระทั่งถึงหน้าประตูจวนอ๋อง

"ขอบคุณท่านพี่เฉียวมากที่มาส่งข้ากลับจวน" ซูเมิ่งเยียนหันหน้ามามองพร้อมรอยยิ้ม "ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หากช้าไปกว่านี้เกรงว่าร้านหนังสือจะปิดไปเสียก่อน"

"หื้ม?" เฉียวฉู่ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่มีการตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วกล่าวกับหน้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า "เช่นนั้นข้าขอตัวไปร้านหนังสือก่อนแล้ว"

"อืม" ซูเมิ่งเยียนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปภายในจวนอ๋อง

"เยียนเยียน..." เบื้องหลังนั้น เฉียวฉู่ได้ส่งเสียงตะโกนเรียกเพื่อหยุดนางเอาไว้

ซูเมิ่งเยียนหันกลับมามองที่เขาด้วยสีหน้าที่งงงวย

โคมไฟภายในจวนอ๋องสว่างไสว แต่กลับกันทางเฉียวฉู่ดูเหมือนอยู่ในความมืดอย่างไรอย่างนั้น เขายืนอยู่ตรงนั้น ลมอ่อนพัดชุดสีเขียวราวฤดูใบไม้ร่วงของเขาให้พลิ้วไหวเล็กน้อย เมื่อผ่านไปนาน เขาก็เริ่มเปิดปากออก ราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง "เจ้า..."

"เหตุใดหวางเฟยถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?" ทางด้านหนึ่ง ก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นมา เป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวลและมีเสน่ห์

คำพูดที่เหลือของเฉียวฉู่ ถูกกลืนกลับไปในทันที แล้วเขาก็จ้องมองไปยังเบื้องหลังของซูเมิ่งเยียน มีชายหนุ่มที่สวมชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ข้างในนั้น บนเท้ายังคงสวมใส่รองเท้าภายในห้อง และทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงโดยไม่รู้ตัว

เขาคิดว่า...มู่เสี่ยวจะทำตัวไม่ดีต่อนาง แต่ทว่าในตอนนี้...กลับเริ่มลังเลแล้ว ไม่คาดคิดว่ามู่เสี่ยวแม้แต่เครื่องแต่งและรองเท้าก็ไม่ทันจะได้เปลี่ยน ก็ออกมารับนางเสียแล้ว?

"วันนี้ข้าออกไปข้างนอก" ซูเมิ่งเยียนส่งเสียงตอบกลับไปอย่างแผ่วเบา และราบเรียบ จากนั้นนางก็หันไปมองที่เฉียวฉู่ "ท่านพี่เฉียว ขอให้การสอบฤดูใบไม้ร่วงราบรื่น"

เฉียวฉู่พยักหน้าอย่างเหม่อลอย จากนั้นก็ฝืนยิ้มแล้วหมุนตัวเดินจากไป

ซูเมิ่งเยียนถอนสายตากลับมา และเมื่อหมุนตัวกลับก็เห็นแววตาที่กำลังสำรวจของมู่เสี่ยว เขาจ้องเขม็งมาที่นาง แล้วก็ไม่อาจรู้ได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

"ท่านอ๋องมีอะไรหรือเจ้าคะ?" ซูเมิ่งเยียนเลิกคิ้วขึ้น แล้วถามออกไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ

"เจ้าไปที่ใดมา?" น้ำเสียงของมู่เสี่ยวราบเรียบ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก

"จวนซู วันนี้ท่านพ่อมีเรื่องจะคุยกับข้า" ซูเมิ่งเยียนหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่ชิวซวง "หากท่านอ๋องไม่เชื่อ เช่นนั้นก็ถามชิวซวงหรือไม่ก็ถามคนจากจวนซูดูก็ได้"

มู่เสี่ยวเม้มริมฝีปาก แน่นอนว่าเขารู้อยู่แล้ว เนื่องจากคนในจวนรายงานเข้ามาแต่แรกแล้ว ว่าวันนี้รถม้าของตระกูลได้มารับนางไป

ช่วงไม่กี่วันมานี้ เขายุ่งวุ่นวายอยู่ตลอด ทางฝ่ายองค์ชายรัชทายาทมาหยั่งเชิงเขาทั้งเปิดเผยและลับหลังอย่างบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาจะรับมือได้อย่างเหลือเฟือแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงไร้ประโยชน์ จนทำให้ไม่ได้ดูแลทางจวนอ๋องมาหลายวันแล้ว

วันนี้ กลับมาเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย แต่นางกลับไปได้อยู่ที่จวน

เมื่อครู่นี้ เมื่อซวนหยวนมารายงานเรื่องเหล่านี้ ก็กล่าวโพล่งออกมาว่า "หวางเฟยกลับมาแล้วขอรับ"

กลับมาแล้วก็กลับมาสิ และเขาก็ไม่ได้สนใจ แต่ซวนหยวนกล่าวเพิ่มมาอีกว่า "คุณชายเฉียวเป็นคนมาส่งนางขอรับ"

หลังจากนั้นคำพูดใด ๆ ก็ตามก็ไม่เข้าหูเขาอีกเลย มารู้ตัวอีกทีเขาก็มาถึงตรงนี้เสียแล้ว

"ท่านยังมีเรื่องอะไรกับข้าอีกอย่างนั้นหรือ?" น้ำเสียงของหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้านั้นทั้งทำอะไรไม่ถูกและระมัดระวัง

สติของมู่เสี่ยวกลับมาในทันที และตอนนี้ก็เพิ่งจะมาสังเกตว่าตนเองนั้นเดินตามซูเมิ่งเยียนมาจนถึงภายในห้องนอนเสียแล้ว เมื่อเห็นสายตาที่จ้องมองมาของนาง ภายในก็มีแต่ความกระวนกระวายเท่านั้น แต่มันกลับสงบลงได้ภายในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็ได้ยินเอาสมุดพับเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววางไว้บนโต๊ะ

"นี่คือ..." ซูเมิ่งเยียนงุนงง แล้วหลังจากนั้นก็นึกบางอย่างออก และได้ถอยออกห่างจากสมุดพับนั้นเล็กน้อย "หรือว่าพระสนมกุ้ยเฟยอยากที่จะเชิญข้าเข้าไปในพระราชวังอีก? ข้าไม่อยากไปอีกแล้ว!"

เพื่อหลีกเลี่ยงหาเรื่องใส่หัวอีก นางไม่อยากที่จะต้องผ่านวันที่ไม่มีข้าวเป็นเวลาหลายวันอีกครั้งแล้ว

เหมือนได้เห็นการกระทำที่ให้อารมณ์เหมือนเด็กเช่นนี้ ภายในแววตาของมู่เสี่ยวก็มีร่องรอยของรอยยิ้มขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด

"หื้ม?" เมื่อสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเขา ซูเมิ่งเยียนก็ยิ่งงุนงงมากขึ้นไปอีก

"จะเข้าวังจริงๆ" มู่เสี่ยวส่งเสียงกระแอมเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังในทันที "และเจ้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้"

"ทำไมล่ะ?" ซูเมิ่งเยียนขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็หยิบสมุดพับขึ้นมา และกวาดสายตามองด้วยความรวดเร็ว จากนั้นทั้งคิ้วและดวงตาของนางก็ลู่ลง

แน่นอนว่าคงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ คืองานเลี้ยงในพระราชวังได้

งานเลี้ยงภายในพระราชวังทั้งเล็กและใหญ่ นางต่างก็เคยเข้าร่วมมาไม่น้อยในชีวิตที่แล้ว แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ ในชีวิตที่แล้วนางมีความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมงานเหล่านี้มาก เพราะในที่สุด...นางก็สามารถปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนในฐานะของหวางเฟยหย่งอันอย่างเป็นทางการได้เสียที

แต่ทว่าในชีวิตนี้...

"ท่านเข้าวังไปเองไม่ได้อย่างนั้นหรือ?" นางถามกลับ เมื่อชีวิตที่แล้วตอนที่ตนเองอยู่ที่หลิงหย้วน เวลาที่มีงานเลี้ยงในพระราชวังเช่นนี้เขาก็สามารถที่จะรับมือเพียงผู้เดียวได้

มู่เสี่ยวขมวดคิ้ว แล้วเหลือบมองไปที่นาง "หากเป็นก่อนหน้านี้ ข้าจะไม่เชิญเจ้าเลย แต่ครั้งนี้ ไม่ได้"

"ทำไมล่ะ?"

"ประการแรก ครั้งนี้พวกขุนนางรวมถึงภริยาต่างก็จะไปกันหมด ประการที่สอง เรื่องไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ฝ่าบาทมีความประทับใจต่อเจ้าอย่างลึกซึ้ง ประการที่สาม...หย้วนหย้วน  ฝ่าบาทคงมีความสงสัยในตัวกุ้ยเฟยอยู่"

"สงสัยอะไร..." ซูเมิ่งเยียนมีการตอบสนองกลับมาในทันที แล้วมองไปทางมู่เสี่ยวอย่างกลั้นยิ้ม "เรื่องที่ท่านอ๋องส่งยาเข้าไปในพระราชวัง ฝ่าบาททรงสงสัยแล้วเช่นนี้หรือ?"

ริมฝีปากบางของมู่เสี่ยวเม้มเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กล่าวปฏิเสธออกมา

มิน่า...ซูเมิ่งเยียนได้แต่ยิ้มเยาะอยู่ในใจ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดวันนี้ถึงอารมณ์ดีนัก ถึงจะเห็นท่านพี่เฉียวแล้วต่างก็ไม่ได้เยาะเย้ยถากถางนางเลยแม้แต่น้อย อันที่จริง...ต้องการที่จะให้นางช่วยขจัดความสงสัยของเขากับฮัวหย้วนอย่างนั้นสินะ?

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนัก

เมื่อชีวิตที่แล้ว ฮ่องเต้ไม่เคยสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสอง วันนั้น ที่มู่เสี่ยวได้พานางเข้าไปในงานเลี้ยงพระราชวัง และเมื่อดื่มดันจนเมามายกลับมา ในคืนนั้น ทั้งสองก็ได้ร่วมเตียงกัน

หลังจากที่แต่งงาน นี่ก็เป็นครั้งที่สองที่ได้ร่วมเตียงกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน