อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน นิยาย บท 69

สองสามวันมานี้ซูเมิ่งเยียนอยู่ภายในจวนอ๋องตลอด เดิมทีแล้วนางป่วยและหิวโซออกมา ท่านหมอให้นางได้พักฟื้นร่างกายอีกสองสามวัน และให้ดื่มยาบำรุงอีกสองสามวัน นางก็จะค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับมาเอง

เรื่องที่มู่เสี่ยวเข้าไปบุกรุกเข้าไปในพระราชวังครั้งที่แล้ว และดูเหมือนว่าคนในพระราชวังจะรับรู้กันหมดแล้ว ครั้งนี้ เขาได้สร้างความปั่นป่วนไม่น้อยเลย

อ๋องหย่งอันที่ถูกกล่าวขานว่า "อ๋องแห่งความเกียจคร้าน" มาโดยตลอด กลับมีพฤติกรรมที่ผิดปกติขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ฮ่องเต้และเหล่าองค์ชายพระองค์อื่นระแวดระวังขึ้นมาอย่างฉับพลัน และดูเหมือนว่ามู่เสี่ยวก็จะต้องรับมือกับเรื่องนี้ จนไม่ค่อยได้เห็นมาปรากฏตัวอยู่ที่เรือนหลังอีกเลยเช่นกัน

เมื่อคิดถึงตอนนี้ หลังจากที่วันนั้นถูกนำออกมาจากพระราชวัง ก็ไม่ได้พบหน้ามู่เสี่ยวอีกเลย

แต่กลับไม่มีอะไรที่จะต้องละอายใจเลย

อากาศได้เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว เมืองหลวงที่อยู่ทางเหนือ ก็ไม่ได้ถือว่าอบอุ่นอีกต่อไป

ในวันนี้ เป็นวันที่หาได้ยากที่จะเจอแสงแดด แม้ว่าจะไม่อบอุ่นแล้ว แต่มันก็ยังคงทำให้ภายในหัวใจรู้สึกอบอุ่นได้เมื่อเห็นด้วยอาทิตย์

และในเวลานี้ ก็มีคนจากตระกูลซูมาหา มาแจ้งว่าซูเจียงไห่ต้องการที่จะพบหน้านาง

หลังจากที่กลับเยี่ยมบ้านครั้งที่แล้ว ก็ไม่เคยไปพบกับท่านพ่ออีกเลย ตอนนี้ทางนั้นได้ส่งคนมาเชิญแล้ว นางก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอนอยู่แล้ว อีกทั้งมู่เสี่ยวไม่ได้อยู่ในจวน นางจึงไม่จำเป็นที่จะต้องบอกใครให้ทราบ แล้วพาชิวซวงนั่งรถม้าของจวนซูออกไป

จวนของตระกูลซูยังคงหรูหราเช่นเดิม ซูเมิ่งเยียนจ้องมองไปที่ประตูที่กว้างขวาง นางรู้ว่า...เมื่อมีการเปลี่ยนกับผู้กุมอำนาจ คนที่มั่งคั่งในราชวงศ์หนึ่งในที่สุดแล้วจะไม่สามารถมั่งคั่งไปถึงสองราชวงศ์ได้ ใช้เวลาเพียงไม่นาน จวนซู...บางทีก็เสื่อมโทรมลงไปบ้างแล้ว

ความโชคดีเดียวนั้นก็คือ ท่านพ่อและท่านพี่ก็ยังคงไม่เคยพิสมัยในความฟุ้งเฟ้อ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถขัดขวางมหาอำนาจของโลกได้ แต่ก็สามารถที่จะปกป้องชีวิตของพวกเขาเอาไว้ได้

ซูเจียงไห่กำลังรออยู่ที่ประตูทางเข้าห้องโถง ซูเมิ่งเยียนหันไปบริเวณโดยรอบ จึงเห็นเขาที่สวมชุดคลุมสีดำ แต่ด้านนอกก็สวมชุดคลุมกันลมหนา ๆ อีกตัวหนึ่ง รูปร่างของเขาดูผอมแห้งมากกว่าครั้งที่แล้วที่เห็นเสียอีก

"ท่านพ่อ?" ซูเมิ่งเยียนรีบก้าวไปข้างหน้า "เหตุใดท่านถึงได้มารออยู่ตรงนี้? ข้างนอกนี่ลมแรง..."

"จะกลัวอะไรล่ะ" ซูเจียงไห่ส่งเสียงฮึดฮัดเบา ๆ "ตอนนี้สุขภาพของข้ายังแข็งแรงดี แต่บางคน ไม่กลับมาดูข้าเป็นเดือนๆ เลย อวี๋เหนียนก็เริ่มยุ่งวุ่นวายกับธุรกิจครอบครัว จวนซูใหญ่ถึงเพียงนี้เหลือข้าเพียงผู้เดียว ไม่มารออยู่ข้างนอก หรือว่าจะให้ข้าไปรอในห้องจนตายเลยหรืออย่างไร?"

"ท่านพูดอะไรกันน่ะ!" ซูเมิ่งเยียนทำเสียงโมโห แววตาเต็มไปด้วยความจำใจ "ร่างกายของท่านยังแข็งแรงนะ รอความตายอะไรกัน!"

“มันพูดยาก” ซูเจียงไห่ทอดถอนหายใจ

"ท่านพ่อ?" น้ำเสียงของซูเมิ่งเยียนเบาลงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ถึงได้กระวนกระวายอยู่ภายในใจเล็กน้อย

"นี่เจ้าแสดงสีหน้าอะไรกัน?" สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจที่จะก้มหน้าไว้ได้นานเกินไป ถึงแม้ว่าจะแสร้งทำเป็นโกรธอยู่ แต่ก็มีรอยยิ้มอยู่ในแววตาของเขา "พ่อของเข้ายังมีชีวิตที่สุขสบายดีนะ!"

"ใช่แล้ว" ซูเมิ่งเยียนหัวเราะออกมา แล้วพยักหน้าเห็นด้วยอย่างแรง "ท่านจะต้องมีชีวิตที่ดีต่อไป ลูกสาวรับประกัน"

ชีวิตที่แล้ว ท่านพ่อเสียชีวิตไประหว่างที่เดินทางไปยังเจียงหนาน และพี่ชายคนโตกับไป๋เยว่ก็อยู่ที่เจียงหนานมาโดยตลอด หลังจากนั้นพี่น้องก็ไม่เคยได้พบหน้ากันอีกเลย

"เจ้ามีความคิดเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว" ซูเจียงไห่ลูบเคราของเขา จากนั้นก็หมุนตัวโดยที่นางประคองอยู่ แล้วเดินตรงไปที่ห้องโถงใหญ่

ม่านภายในห้องโถงมีความหนาเพียงพอ จึงทำให้ภายในอบอุ่น ซูเมิ่งเยียนจึงได้ถอดเสื้อคลุมกันลมให้กับซูเจียงไห่ และมอบมันให้กับชิวซวง จากนั้นจึงถามว่า "ท่านพ่อ ท่านเรียกให้ข้ามาหา มีเรื่องอะไรเช่นนั้นหรือ?"

แม้ท่านพ่อจะปากร้ายใจดี แต่น้อยมากที่เพราะคิดถึงนาง แล้วจะส่งคนให้ไปหานางถึงจวนอ๋อง

ซูเจียงไห่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้ามองมาที่นาง "ได้ยินข่าวมาว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเจ้าเข้าวังมาหรือ?"

ซูเมิ่งเยียนตกใจเล็กน้อย ไม่นึกมาก่อนเลยว่าเรื่องที่จะแพร่ถึงเพียงนี้

"เรื่องที่มู่เสี่ยวเข้าวังไปตามหาเจ้า มันถูกแพร่กระจายไปทั่วราชสำนักแล้ว และพ่อก็ได้ยินมาจากพวกเหล่าใต้เท้าตอนดื่มเหล้า" ซูเจียงไห่อธิบายทีละคำ แต่ก็อดที่จะส่งเสียงฮึดฮัดไม่ได้ "ครั้งที่แล้วพ่อก็มองว่ามู่เสี่ยวนั้นดีต่อเจ้า ถือว่าพ่อมองคนไม่ผิด แล้วหากเขากล้าที่จะไม่สนใจเจ้า ดูว่าพ่อจะทำอย่างไรได้บ้าง..."

เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางเพิ่งจะตระหนักรู้ว่าตระกูลพ่อค้าตระกูลหนึ่งจะไปสู้ท่านอ๋องได้อย่างไร? ทำได้แค่เพียงเงียบปากไปเท่านั้น

ซูเมิ่งเยียนจ้องมองไปที่สีหน้าของซูเจียงไห่ นางอยากจะบอกว่าที่จริงแล้วมันไม่ใช่ มู่เสี่ยวไม่เคยเห็นนางอยู่ในหัวใจเลย แต่สุดท้ายแล้วคำพูดที่ออกไปก็ต้องเปลี่ยน "ใช่แล้ว เขาทำดีต่อข้ามากจริง ๆ ท่านพ่อ"

สีหน้าของซูเจียงไห่ผ่อนคลายไปเล็กน้อย จากนั้นก็เอนกายลงบนพนักพิงหลังอย่างเอื่อยเฉื่อย พลางกล่าวว่า "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อก็วางใจมากเลยทีเดียว"

"ท่านพ่อ?"

"การเคลื่อนไหวของมู่เสี่ยวในครั้งนี้ ทำให้วุ่นวายไม่น้อยเลย" ซูเจียงไห่หรี่ตาลงเล็กน้อย "ได้ยินมาว่า ช่วงสองสามวันมานี้องค์ชายรัชทายาทไม่สนใจแม้แต่องค์ชายสาม แล้วลงแรงทั้งหมดไปตรวจสอบมู่เสี่ยว ถึงจะพูดว่าตรวจสอบแล้วไม่เจออะไรก็ตาม ไม่กี่วันนี้มา กลัวว่ามู่เสี่ยวคงจะปากกัดตีนถีบอยู่ในราชสำนักไม่น้อยเลย"

ในเรื่องของราชวงศ์ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมากแม้การเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยที่สุดต่างก็ไม่เคยปล่อยไป ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้มู่เสี่ยวช่างกล้าหาญมากเลยจริง ๆ

การบุกเข้าไปในพระราชวัง นี่ต้องใช้ความกล้าหาญมากถึงเพียงใดกัน

"จริงหรือ?" ซูเมิ่งเยียนบ่นพึมพำ ภายในใจไม่ได้เป็นกังวล เมื่อชีวิตที่แล้วในระหว่างที่มู่เสี่ยววางกลยุทธ์ เขาเป็นผู้ที่กำหนดการมีชีวิตและความตาย ความสามารถของเขา นางไม่เคยที่จะสงสัยมาก่อนเลย "ท่านพ่อ ท่านล่ะ?" นางถามกลับ

"พ่อทำไม?" ซูเจียงไห่จ้องมองไปที่นาง

ซูเมิ่งเยียนไม่ได้มีการตอบสนอง เพียงแค่มองไปที่ชิวซวง จากนั้นชิวซวงก็รู้ตัวในทันที นางโบกมือให้สาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง และหมุนตัวเดินออกไปจากห้องพร้อมกับปิดประตู

ภายในห้องโถงที่กว้างใหญ่ มีเพียงแค่สองพ่อลูกเท่านั้น ซูเมิ่งเยียนเอ่ยปากว่า "ท่านมีทรัพย์สมบัติที่ถือเท่ากับครึ่งหนึ่งของแคว้น หากเป็นท่านแล้วละก็ ท่านรู้สึกว่า ผู้ที่เป็นคนที่อยู่เหนือสุดที่คอยชี้ทางให้กับราชสำนัก คือผู้ใด?"

ซูเจียงไห่เงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อผ่านไปนานก็ถอนหายใจออกมา "เยียนเยียนเจ้าโตขึ้นมาแล้วจริง ๆ..."

"..." ซูเมิ่งเยียนเม้มริมฝีปาก แล้วไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

"ความสามารถขององค์ชายรัชทายาทนั้นแข็งแกร่ง มีไท่ฟู่และอัครเสนาบดีทั้งสองตระกูลคอยให้การสนับสนุนหลัง และไทจื่อเฟยก็ยังเป็นหลานสาวของฮ่องเฮาอีกด้วย อย่างไรก็เป็นคนดันทุรังดื้อรั้น ยากที่จะได้เรื่อง" ซูเจียงไห่กล่าวต่อว่า "องค์ชายสามเป็นผู้มีไหวพริบ ทั้งยังมีตระกูลของไท่ซือคอยปกป้องอยู่ แต่ทว่า เขาเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากเกินไป ยากที่จะรับผิดชอบงานหนักได้"

ภายในใจของซูเมิ่งเยียนสั่นไหวเล็กน้อย ความจริงแล้วภายในใจของท่านพ่อ...มองเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลย

"ยังมีอีกนี่ ท่านพ่อ" ซูเมิ่งเยียนกล่าวถามว่า "แล้วมู่เสี่ยวล่ะ?"

"เขา..." ซูเจียงไห่หยุดไปชั่วขณะหนึ่ง "ภายในอกเขามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว เป็นผู้ที่ยากจะคาดเดาได้ แต่มารดาที่เป็นสนมที่เสียไปแล้ว ทำให้ไม่มีผู้ใดหนุนหลังเขาเลย"

ซูเมิ่งเยียนเม้มปากเล็กน้อย "ท่านพ่อ เลือกเขา"

“ผู้ใดกัน?” ซูเจียงไห่ขมวดคิ้ว

"มู่เสี่ยว" ซูเมิ่งเยียนจ้องมองเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของซูเจียงไห่ "เมื่ออำนาจมีการเปลี่ยนแปลง ต้นไม้ที่ใหญ่โตในป่าจะถูกลมพัดทำลายก่อน เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลซูจะกลายเป็นหนามยอกอกที่คอยทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อ เลือกมู่เสี่ยว แม้ว่าตระกูลซูจะไม่หลีกเลี่ยงต้องเสื่อมทรุดไม่ได้ แต่ลูกสาวก็สามารถช่วยปกป้องตระกูลซูไว้ได้"

เลือกมู่เสี่ยว ที่เป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย และท้ายที่สุดอย่างมากก็จบลงด้วย "ปลดปล่อยความร่ำรวย" หากว่าเลือกคนอื่น หรือเลือกทางที่ผิด ก็เกรงว่า...จะปกป้องใครในตระกูลซูไว้ไม่ได้เลย

ซูเจียงไห่จ้องมองไปยังลูกสาวที่อยู่เบื้องหน้า จากนั้นก็หัวเราะเล็กน้อยเป็นเวลานาน

"ท่านพ่อ?"

"เยียนเยียน ตอนแรกที่พ่อเลือกให้เจ้าแต่งงานกับมู่เสี่ยว ก็ได้ทำการเลือกไปแล้ว" เขาจะปล่อย...ให้ลูกสาวของตนเองกลายเป็นนักโทษถูกขังได้อย่างไร?

"ท่านพ่อ..." แววตาของซูเมิ่งเยียนสั่นรัว นางไม่เคยรู้มาก่อน ไม่คาดคิดว่าท่านพ่อจะคิดไปไกลถึงเพียงนี้ "ท่าน...รู้ตั้งแต่แรก..."

"พ่อเคยพูดแล้ว มู่เสี่ยวไม่ใช่ปลาในบ่อ ในตอนนั้นเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น ในตอนนี้เมื่อได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ก็เป็นเพียงแค่การยืนยันของพ่อเท่านั้น" ซูเจียงไห่หรี่ตา "ตอนที่แม่ของเจ้ามีชีวิตนางเป็นห่วงเจ้าอยู่ตลอด แล้วพ่อจะทำให้เจ้าไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตได้อย่างไร?"

ท่านแม่...ซูเมิ่งเยียนหลุบตาลง ความประทับใจที่นางมีต่อแม่ไม่ได้ลึกซึ้งนัก แต่ทว่า...ท่านพ่อก็ไม่เคยที่จะแต่งงานใหม่อีกเลย แน่นอนว่าความรักที่มีต่อท่านแม่ต้องลึกซึ้งมาเป็นแน่

ทันใดนั้น...ก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก "ท่านพ่อ ขอบคุณท่านมาก" นางกล่าวอย่างแผ่วเบา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อ๋องเฟยเกิดใหม่ ท่านอ๋อง ขอหย่ากัน