เมื่อเห็นฉีเฟยอวิ๋นอ้าปากกล่าวแต่กลับกล่าวไม่ออก หนานกงเย่จึงรู้สึกแปลกใจ : “อยากถามอะไรรึ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็อดกลั้นไม่ได้ : “จริง ๆ ก็ไม่มีอะไร ครั้นยินว่าท่านอ๋องรู้สึกได้ หม่อมฉันมีประโยคหนึ่งที่ไม่ทราบว่าควรเล่าหรือไม่ควรเล่าดี แต่เมื่อคิดได้ ก็รู้สึกว่าประโยคนี้ไม่ควรเอ่ยถาม และยิ่งไม่ควรคิดด้วยซ้ำ”
หนานกงเย่เป็นคนเฉลียวฉลาด แค่คิดเขาก็รู้แล้วว่าเรื่องอะไร
เขาจึงเอ่ยถามอย่างไม่ลังเล : “ระหว่างเจ้ากับเขา ข้าจะเลือกผู้ใดละ?”
ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้าหงึกหงัก : “อื้อ”
“ข้าไม่เคยคิด แต่หากเขาทำร้ายอวิ๋นอวิ๋น ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเขาเด็ดขาด” หนานกงเย่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง เขามองไปยังตำหนักบำรุงฤทัยแวบหนึ่ง : “แม้ว่าข้าจะไม่มีวันก่อกบฏ แต่หากทำร้ายอวิ๋นอวิ๋นขึ้นมา ข้าจะทวงความยุติธรรมจากเขาให้จงได้”
“มีท่านอ๋องหม่อมฉันก็พอใจแล้ว แต่ถึงตอนนั้นหากหม่อมฉันทำร้ายเขา ท่านอ๋องก็อย่ามาคิดเอาคืนหม่อมฉันแล้วกันเจ้าค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือทางหนีทีไล่ให้แก่ตนเอง
ในกรณีที่จักรพรรดิอวี้ตี้ทำร้ายนาง เขาต้องไปเอาคืนจากอีกฝ่ายอย่างแน่นอน แต่หากนางทำร้ายจักรพรรดิอวี้ตี้ เกรงว่านิสัยของเขาคงไม่มีทางมาเอาคืนนางแน่
ชิงพูดก่อน ต่อไปจะได้ถือว่าเป็นหลักประกัน
หนานกงเย่เลิกคิ้วสูงเล็กน้อย : “ถือว่าเจ้ากล้าหาญมาก กล้ากล่าวคำคำนี้ ข้าจะปกป้องเจ้า แต่ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับเจ้า
อวิ๋นอวิ๋นเจ้าเป็นถึงพระชายาเย่ แค่ตำแหน่งพระชายาเย่ที่ตนแบก อย่าได้ทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงของข้า
หากเขาสร้างปัญหาให้อวิ๋นอวิ๋นนั้นถือว่าเขาเป็นคนจิตใจคับแคบ ข้าจะไปเอาคืนจากเขา แต่หากอวิ๋นอวิ๋นสร้างปัญหาให้เขา นั้นคือความอกตัญญู ก่อการกบฏ!”
หนานกงเย่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับไม่กลัว รอบกายไม่มีผู้ใด ก็ไม่ต้องกลัวว่าใครจะได้ยิน
“ท่านอ๋องโปรดเชื่อใจ ต่อให้คนทั่วโลกมีใจคิดก่อการกบฏ แต่ข้าไม่มีวันคิด ส่วนความอกตัญญู....จริง ๆ แล้วมันไม่มีทางเลือกแล้วต่างหาก
ท่านอ๋องคงไม่ทราบ การปฏิสัมพันธ์กับเขา ข้าเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก
บางครั้งเขาก็บีบให้ข้าต้องอกตัญญูต่อเขา”
หนานกงเย่มองไปทางฉีเฟยอวิ๋นด้วยความไม่สบายใจโดยไร้เหตุผล ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาถึงไม่ชอบให้ฉีเฟยอวิ๋นเอ่ยถึงคนผู้นั้น
“ข้าจะพาเจ้ากลับเอง”
หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นและเตรียมจะจากไป แต่ฉีเฟยอวิ๋นกลับตื่นตกใจ : “ท่านอ๋องวันนี้ข้ามีเรื่องต้องไปหาเขา เกรงว่าหากกลับไปเช่นนี้คงไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นสวีกงกงก็ทูลรายงานแล้วด้วยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น....” ในขณะที่กำลังว่าจะกล่าวอะไรนั้น สวีกงกงก็เดินออกมาจากด้านใน
ทั้งสองคนไม่ทันจากไปก็ถูกเชิญเข้าไปด้านในเสียก่อน ฉีเฟยอวิ๋นเดินเข้าตำหนักบำรุงฤทัย จากนั้นก็คุกเข่าคารวะ
หนานกงเย่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก เขาไม่เคยเห็นสตรีผู้นี้คุกเข่ามาก่อน
หนานกงเย่จ้องเขม็งไปทางฉีเฟยอวิ๋นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
จักรพรรดิอวี้ตี้เหมือนจะมองออก ทุกครั้งเขาจะให้ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นก่อน แต่ครั้งนี้เขากลับไม่เอื้อนเอ่ย
หนานกงเย่รออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า : “น้องกระทำผิดต่อฝ่าบาทตรงไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“กล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปยังฉีเฟยอวิ๋นที่ยังคงคุกเข่าไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น นางตั้งครรภ์หรือ?
สำหรับเรื่องการตั้งครรภ์ของฉีเฟยอวิ๋น จักรพรรดิอวี้ตี้พูดไม่ออกว่าควรจะคือดีใจหรือไม่ดีใจดี
แต่เขากลับอยากเจอสองสามีภรรยาอย่างพวกเขา
ก่อนหน้านั้นพวกเขาล้วนเป็นครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ แล้วเด็กคนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น?
“อวิ๋นอวิ๋นมีครรภ์ เดิมทีไม่สามารถทำงานหนักได้ บัดนี้มีเรื่องต้องเข้าวัง คงหลีกเลี่ยงการคารวะไม่ได้
แต่นางมีร่างกายอ่อนแอมาก จริง ๆ แล้วไม่เหมาะจะคุกเข่านาน ๆ เสียด้วยซ้ำ
น้องจำได้ ทุกครั้งที่มาน้อมทักทายฝ่าบาท ฝ่าบาทมักจะให้อวิ๋นอวิ๋นลุกขึ้นเร็วเสมอ แต่วันนี้ยังคงคุกเข่าไม่มีท่าว่าจะลุกขึ้น ไม่ทราบว่าน้องไปล่วงเกินฝ่าบาทตรงไหนเข้าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิอวี้ตี้คลี่ยิ้ม : “ข้าคือจักรพรรดิ จะให้ผู้ใดคุกเข่าหรือไม่ให้ผู้ใดคุกเข่า ต้องถามความเห็นเจ้าด้วยรึ?”
“น้องมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงเย่โน้มตัวคารวะ จักรพรรดิอวี้ตี้จึงส่งเสียงเหอะออกมา : “ปากเจ้าบอกไม่กล้า แต่ในใจของเจ้าอาจจะคิดเช่นนี้ก็ได้?
ข้าอบรมสั่งสอนเจ้ามาตั้งแต่วัยเยาว์ จักรพรรดิและขุนนานล้วนแตกต่าง เจ้ากลับลืมสิ้นความใสสะอาด วันนี้ แค่คำพูดเมื่อครู่ของเจ้า ข้าก็สามารถลากเจ้าออกไปประหารได้แล้ว"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ