สายตาของหนานกงเย่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เขาปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและยอมรับการแต่งตัวของคนเหล่านั้น
ฉีเฟยอวิ๋นเจอแผนกจิตเวชและเข้าไปพบแพทย์ที่นั่นโดยตรง
คุณหมอมีสีหน้าลำบากใจเมื่อเห็นหนานกงเย่ถามคำถามเหล่านี้
"คุณชื่ออะไร อายุเท่าไรครับ?"
"หนานกงเย่ อายุสิบเก้าปี"
คุณหมอรู้สึกอึ้ง นี่เหมือนกับอายุสิบเก้าเหรอ?
แววตาของเขาคมกว่าคนอายุสามสิบปี
"เขาเป็นสามีของดิฉันค่ะ เขาเริ่มนอนไม่หลับตั้งแต่เดือนที่แล้ว ญาติที่เป็นลุงเจ็ดของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งครอบครัว จากนั้นเขาก็เริ่มสติเลอะเลือน ฉันตรวจสอบดูแล้ว เขาเป็นโรคซึมเศร้า แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีอาการแบบนี้ คุณช่วยดูให้ฉันหน่อยนะคะ มียาพิเศษสำหรับการรักษาโรคซึมเศร้าไหมคะ?" ครั้งนี้ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดที่จะไปห้องทดลองแล้ว เพราะห้องทดลองก็ไม่มียาพิเศษสำหรับการรักษาอาการโรคซึมเศร้าได้ จึงได้มาหายาที่โรงพยาบาล
คุณหมอกล่าวว่า "ผมจะออกยารักษาอาการโรคซึมเศร้าให้นะครับ แต่หวังว่าพวกคุณจะรับการรักษาอาการทางจิต ถึงแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงระยะสุดท้าย แต่ก็สามารถทำให้คนตายได้นะครับ"
"ขอบคุณค่ะ!"
ฉีเฟยอวิ๋นราวกับฝันไป เธอหยิบใบสั่งยาและเดินไปซื้อยา
เมื่อเดินมาถึงข้างล่างตึกเธอก็ดูชื่อยา จากนั้นก็โยนไปในถังขยะใกล้ๆ
หนานกงเย่ไม่เข้าใจ "ทำไมต้องโยนทิ้งด้วยหรือ?"
"ต่างก็เป็นยาธรรมดาที่ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น ผลข้างเคียงก็เยอะ ต้องใช้แบบที่สั่งจากต่างประเทศเข้ามาถึงจะได้ แต่สถานที่ธรรมดามีกจะไม่มี ต่อให้มี พวกเราก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าไม่มีเงิน"
"ข้ามีเงิน" หนานกงเย่หยิบถุงตำลึงในกระเป๋าออกมา ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกยอมและหยิบมาวางลง
"ที่นี่เงินตำลึงไม่มีค่า ครั้งหน้าต้องนำทองคำติดมา"
หนานกงเย่หยิบถุงออกมาอีกครั้งและหยิบทองคำออกมาจำนวนหนึ่ง "ข้าก็มีทอง"
ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน!
เมื่อมีทองคำแต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่กล้านำไปจับจ่ายใช้สอยเอาง่ายๆ เธอดึงหนานกงเย่แล้วหาที่แอบ
หนานกงเย่มีสีหน้าภาคภูมิใจ
หนานกงเย่ "ข้าไม่อายใคร?"
"ไม่ใช่ว่าอายหรือไม่อายใคร แต่ท่านไม่มีบัตรประชาชน หากถูกตรวจสอบขึ้นมาท่านจะต้องถูกเข้าไปอยู่กับลูกหนู" ฉีเฟยอวิ๋นตั้งใจหลอกให้หนานกงเย่ตกใจ หนานกงเย่รู้สึกแปลกใจ ลูกหนูคือสถานที่แบบไหนกัน? หนู?
ฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่และนั่งลงจากนั้นจึงอธิบายอย่างละเอียด
หนานกงเย่รู้สึกไม่มีความสุขอย่างยิ่งที่รู้ว่าผู้คนที่นี่ป่าเถื่อนมาก "ข้าเป็นคนที่พวกเขาสามารถแตะต้องได้อย่างนนั้นหรือ?"
"ท่านอ๋องยังจำที่หม่อมฉันเคยพูดไว้หรือไม่เพคะว่าคนที่นี่ไม่คุกเข่ากัน?"
หนานกงเย่พยักหน้า "จำได้"
"เช่นนั้นก็ดี ท่านย้อนนึกดูให้ละเอียดว่ามีความเข้าใจเกี่ยวกับคนรุ่นหลังมากน้อยเพียงใด?"
หนานกงเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง "เข้าใจเพียงเล็กน้อย"
"อืม นับว่ามีความซื่อตรง" ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกว่าหนานกงเย่มีความตระหนักในตัวเองมากเกินไปและค่อนข้างเป็นคนอ่อนน้อม
"ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันจะบอกท่านว่า พวกเราต้องรีบหาตัวยาให้ได้ และรีบกลับไป ไม่เช่นนั้นหากท่านเป็นอะไรไป ข้ากลับไปจะมีประโยชน์อะไร"
ฉีเฟยอวิ๋นพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด แต่กลับใช้ได้ผลกับหนานกงเย่ ราวกับเป็นเด็กน้อยและรีบพยักหน้า "อวิ๋นอวิ๋นพูดถูก"
ฉีเฟยอวิ๋นใช้เวลาถึงสามชั่วโมงเพื่ออธิบายชีวิตความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อมและกฎทางสังคมของคนยุคปัจจุบันให้หนานกงเย่ฟัง
และซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับหนานกงเย่ใส่
ครั้งแรกที่สวมใส่รูปทรงหัวกระสุน หนานกงเย่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ๋นกลับรู้สึกว่าหล่อมาก
หลังจากที่สวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว หนานกงเย่ออกมายืนอยู่หน้ากระจกอยู่ครู่หนึ่งและชี้ไปที่กระจก "ข้าต้องการกระจก ตอนไปอย่าลืมเอากลับไปด้วย"
"ท่านอ๋อง หากข้าสามารถนำท่านกลับไปได้ หม่อมฉันจะบูชาพระพุทธเจ้าเลยเพคะ" ตอนนี้ฉีเฟยอวิ๋นกำลังกังวลว่าจะพาหนานกงเย่กลับไปได้หรือไม่
"ข้าจะนำกลับไป" หนานกงเย่ชอบกระจกที่อยู่ตรงหน้ามาก
ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้สนใจเขา "หากท่านอ๋องชอบ กลับไปหม่อมฉันจะทำให้ท่านอ๋องเพคะ"
"จริงหรือ?"
"จริงสิเพคะ" ฉีเฟยอวิ๋นเอามือมาแนบหน้าอกเพื่อเป็นการสัญญา หลังจากนั้นหนานกงเย่จึงไม่พูดเซ้าซี้เรื่องกระจกอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ