ฉีเฟยอวิ๋นยอมรับผิดถึงได้มองหน้าหนานกงเย่ และกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอ๋องมาได้อย่างไรเพคะ?”
“ยังกล้าถามหรือ?”หนานกงเย่เดินมองฉีเฟยอวิ๋น เดินทางมาอย่างเร่งรีบราวกับฟ้าแลบ หรือว่าเขามาเพราะเรื่องสงครามชายแดน?
มีแม่ทัพฉีอยู่ทั้งคนเขาไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ใจโหยหานั่นก็คือเธอ
ถามอย่างไรหัวจิตหัวใจมันไม่ใช่ครั้งแรกหรอก
มือของหนานกงเย่ลูบสัมผัสที่แก้มบวมเป่งของฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่รู้ตัว เมื่อก่อนตอนที่ผอมเป็นคนที่สวยงามสง่า แม้ว่าจะดึงดูดผู้คน แต่พอนึกถึงเจ้าของร่างกายดั้งเดิมนี้ เขามีจิตใจที่มุ่งมันคะนึงหาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
วันนี้เจ้าของร่างเดิมไม่อยู่ แลกเปลี่ยนกลายมาเป็นวิญญาณของเธอ ก็กลายเป็นเยี่ยงตอนนี้
แต่อย่างนี้เขาก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
เขาลูบสัมผัสใบหน้าแก้มที่บวมเป่งของฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นมองท่านแม่ทัพฉีแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อตา เกิดเรื่องกับเจ้าแห่งอีกาหรือ?”
“เรื่องนี้ข้ามิได้รู้อย่างชัดเจน ถามอวิ๋นอวิ๋นเถิดนะ”แม่ทัพฉีไม่ได้รู้เรื่องราวรายละเอียดเกี่ยวกับเจ้าแห่งอีกาชัดเจน เลยมิได้กล่าวอะไรมาก
แม่ทัพฉีนั่งลงแล้วมองบุตรเขย การกระทำการพูดทุกอย่างล้วนใส่ใจบุตรสาวของตน ท่านแม่ทัพฉีนับว่าสบายใจแล้ว
หนานกงเย่นั่งลงมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นเอื้อมมือออกไปกล่าวว่า “เรื่องของเจ้าแห่งอีกาอีกสักครู่บอกกับข้าเป็นการส่วนตัวนะ คนอื่นกลับไปพักผ่อนก่อน เรื่องช่วยเหลือเจ้าแห่งอีกาคนของข้าจะไป พระชายาตวน ท่านกลับไปที่กระโจมของท่านก่อน ที่นั่นมีคนรอท่านอยู่”
“รอข้าหรือ?”
อวิ๋นหลัวฉวนมีสีหน้าที่ไม่เข้าใจ แต่ก็ยังคงลุกขึ้นยืน นางกังวลว่าท่านย่าจะมา เลยรีบกลับไปอย่างว่องไว
และมู่เหมียนได้พาคนอื่นๆถอยออกไปเช่นกัน
“พ่อจะไปสำรวจตรวจตราแล้วนะ”กล่าวแล้วท่านแม่ทัพฉีก็ได้ลุกเดินออกไป
ภายในกระโจมเหลือเพียงหนานกงเย่และฉีเฟยอวิ๋นสองคน ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกเกร็งและกดดัน อย่างไรก็ตามเป็นเธอที่ออกมาโดยพลการ
“ท่านอ๋อง เรื่องนี้เป็นเรื่องของหม่อมฉันผู้เดียว ท่านอย่าโทษนางเลย”ฉีเฟยอวิ๋นยอมรับผิดด้วยตนเอง เธอเงยหน้ามองหนานกงเย่ หนานกงเย่สายตาแววเป็นประกายใช้มือสองข้างจับที่แก้มของเธอแล้วมอง
“ข้ารีบเร่งเดินทางคล้ายดั่งไฟแผดเผา อวิ๋นอวิ๋นไม่คิดถึงข้าหรือไร?”
ฉีเฟยอวิ๋นขมวดคิ้วมองหนานกงเย่ กล่าวว่า “คิดถึงก็คิดถึงอยู่หรอกเพคะ เพียงแต่ว่า......”
“เพียงแต่อันใดหรือ?”
“ก็ไม่มีอะไรเพคะ เป็นหม่อมฉันที่ออกมาเอง คิดถึงก็ไม่สามารถพูดได้ พูดออกมาน่าอายแค่ไหนกันเล่า!”
“ยังรู้จักที่จะอับอาย?”หนานกงเย่ถูกทำให้โมโหจนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดถึงก็คือคิดถึง ยังจะกลัวอายอะไรกัน
“ข้าคิดถึงอวิ๋นอวิ๋น คิดถึงจนใจสั่นหวั่นไหว ยามราตรีนอนไม่หลับ เปิดโคมไฟอ่านตำราก็อ่านไม่เข้าใจ ตอนกลางวันคิดถึงจะนั่งจะยืนก็ไม่ติด กินข้าวไม่ลง เดิมคิดที่จะจัดการที่เมืองหลวงให้เรียบร้อยแล้วค่อยมารับอวิ๋นอวิ๋น แต่ข้าไม่สามารถรอได้เลย”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามว่า “เช่นนั้นท่านอ๋อง ละทิ้งเมืองหลวงมาหรือเพคะ?”
“มิเช่นนั้นเล่า? ”หนานกงเย่ยิ้มเจื่อนๆกล่าวอีกว่า“ข้านับว่ารักเจ้าเกินไปแล้ว!”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกดีโดยฉับพลัน!
คนผู้นี้!
อยากเจอคิดถึงแม้เป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ทั้งสองคนยังคงเอาอกเอาใจกันอย่างนุ่มนวล
รอจนเวลาชั่วขณะนี้ผ่านไป หนานกงเย่ยังมีความรู้สึกว่าอารมณ์ยังค้าง จึงกอดดอมดมฉีเฟยอวิ๋นอยู่สักพักหนึ่งถึงได้ผละออก
ฉีเฟยอวิ๋นไม่เข้าใจ ตอนนี้เธอเป็นเช่นนี้ เธอมองตนเองในกระจกจนแทบอยากจะอาเจียนออกมาแล้ว เขาเอาความรู้สึกสนใจโหยหาเหล่านี้มาจากไหน ถึงได้หวงแหนเธอขนาดนั้น?
ฉีเฟยอวิ๋นถูกปล่อยออกและได้กวัดแกว่งขาทั้งสองข้าง เมื่อก่อนเธอรูปร่างก็ไม่เลว ขาทั้งสองข้างพอคนเห็นคนก็ชื่นชอบ วันนี้ขาของเธออวบอ้วนบวมคล้ายดั่งหัวไชเท้าขาว อีกทั้งหนาทั้งบึกล่ำ พาเธอกวัดแกว่งแล้วรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย ขาทั้งสองข้างนี้ขาวอวบนุ่มนิ่ม สดใสแวววาว เพราะว่าเธอบวมและยังมีน้ำมีนวล
แต่ดูแล้วไม่สวย คล้ายดั่งกีบเท้าของหมูสองข้างกวัดแกว่งอยู่ข้างเตียง
หนานกงเย่นั่งลงอีกด้าน กล่าวว่า “ขาบวมหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “ตอนที่มาเป็นหนักขึ้น อยู่ในรถม้าโคลงเคลงมากเพคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ