ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: "จุดนี้นั้นข้าสามารถรับประกันได้เพียงแค่ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพจวินจะเชื่อใจข้าหรือไม่
เด็กน่าจะอายุได้ประมาณเดือนกว่าๆ ดูเหมือนว่าในขณะที่ฝ่าบาทได้รับทราบว่าแม่ทัพจวินมีใจเป็นอื่นนั้นก็ยังรักพระสนมเอกเซียวอยู่ ไม่เช่นนั้นในตอนนั้นท่านพ่อของข้าออกรบที่นี่แล้วจะเป็นพระเมตตาในครานั้นได้เช่นไร? "
ใบหน้าของจวินเจิ้งตงแดงขึ้นมาจากนั้นก็เหลือบมองไปยังแม่ทัพฉี: "ท่านว่าเกิดสิ่งใดขึ้น?"
จวินเจิ้งตงรู้ว่าฉีจือซานเป็นดวงพระทัยของฝ่าบาทและเขาก็กล่าวได้ถูกต้องทั้งสิ้น
แม่ทัพฉียิ้ม: “ลูกสาวคนโตของท่านผู้นี้ทำสิ่งชั่วร้ายไว้มากมาย นางทำให้หลานชายที่ยังไม่ได้กำเนิดของพระมเหสีหวาสิ้นพระชนม์ พระมเหสีหวาทรงคิดว่าท่านไม่รู้? นางไม่ได้ทำลายตระกูลจวินให้สิ้นซากก็นับว่าเป็นโชคดี ท่านนึกว่าฝ่าบาทจะทำลายล้างตระกูลจวินของท่านให้สิ้นซากหรือ?”
จวินเซียวเซียวกล่าวว่า: “ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้เพราะพี่สาวเช่นนั้นหรือ?”
จวินเจิ้งตงเย็นชา: "พี่สาวของเจ้าถูกผู้อื่นทำร้ายตายอย่างอนาถ"
“ท่านพ่อ ไม่มีผู้ใดบอกท่านถึงการกระทำอันชั่วร้ายของพี่สาวหรอกหรือ? นางต้องการเป็นฮองเฮา ต้องการค้ำจุนอ๋องตวนขึ้นเป็นจักรพรรดิ”
แม้ว่าทุกคนจะเข้าใจเรื่องเป็นอย่างดีว่าฝ่าบาทไม่มีโอรสก็ต้องเลือกองค์รัชทายาทจากอ๋องเย่และอ๋องตวน แต่ฝ่าบาทในตอนนี้พระวรกายนั้นทรงแข็งแรง เป็นห่วงกังวลในเวลานี้นั้นช่างเร็วเกินไป
จวินเจิ้งตงกลับรู้สึกว่าเด็กที่กำเนิดมาจากในจวนอ๋องเย่อ๋องตวนนั้นมีโอกาสที่จะได้เป็นองค์รัชทายาทมากกว่า
ต้องการค้ำจุนอ๋องตวนให้เป็นจักรพรรดิก็คือต้องการเป็นกบฏและแย่งชิงราชบัลลังก์
จวินเจิ้งตงถามว่า: “ปกติพี่สาวของเจ้านั้นอ่อนโยนและมีเมตตาจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“นางถูกอำนาจเข้าครอบงำจนมึนงง”
“เซียวเซียว เจ้าอย่าได้ดำเนินรอยตามพี่สาวของเจ้า แม้ว่าความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งจะดีแต่ชีวิตนั้นก็สำคัญที่สุด ต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี คนตายไปแล้วก็ไร้ซึ่งสิ่งใดแล้ว”
แม่ทัพฉีหัวเราะหึๆ: “ท่านยังรู้เรื่องเหล่านี้ ท่านเป็นผู้รบต่อสู้ผู้หนึ่งท่านรู้ว่ารบชนะก็สำเร็จแล้ว”
“ท่านจะเข้าใจสิ่งใด ท่านเป็นผู้ที่หยาบคายผู้หนึ่ง” จวินเจิ้งตงกำเนิดในตระกูลบัณฑิต แต่ไรมาก็ไม่เคยเห็นผู้ที่กำเนิดในตระกูลวิทยายุทธเช่นแม่ทีพฉีอยู่ในสายตา
แม่ทัพฉีเย็นชา: "ท่านยังไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทในภายหลังว่าท่านยักยอกเบี้ยทหารที่ชายแดนและเกรงว่าจะถูกตรวจสอบถึงได้ก่อการกบฏ ดูซิว่าท่านจะอับอายผู้คนหรือไม่”
"......" ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวสิ่งใดไม่ออก เช่นนี้ก็ได้หรือ?
“ฉีจือซานเจ้าให้ร้ายข้า?”
“ที่จะให้ร้ายก็คือเจ้า”
ทั้งสองคนทะเลาะกันขึ้นฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กล่าวว่า: "เรื่องนี้มาถึง ณ จุดนี้แล้วก็หาวิธีแก้ไขกันเถอะนะ"
แม่ทัพฉีฟังลูกสาว เดินไปนั่งลงแล้วค่อยๆดื่มชา
จวินเจิ้งตงลุกขึ้นประคองลูกสาวไปนั่งอย่างระมัดระวัง เกิดความรู้สึกเสียใจโดยไร้เหตุผล ลูกสาวตั้งครรภ์ตั้งสองคราแล้วแสดงให้เห็นว่าฝ่าบาทนั้นก็ทรงเมตตาต่อลูกสาว
หลังจากลังเลครั้งแล้วครั้งเล่าจวินเจิ้งตงก็กล่าวว่า “ฉีจือซาน ข้าบอกท่านก็ได้ว่าลูกชายสองคนของข้าถูกลักพาตัวไป ลูกชายคนโตก็กลายเป็นคนของพวกเขา ข้าเองก็ไร้หนทางจึงได้ทำเช่นนี้”
แม่ทัพฉีถามว่า: "จงชิน จงชินหรือ?"
ฉีเฟยอวิ๋นและจวินเซียวเซียวครุ่นคิด ดูเหมือนว่าหากไม่กำจัดจงชินเมืองต้าเหลียงจะไม่สงบสุข
“เป็นผู้ที่สวมหน้ากากผู้หนึ่งซึ่งต้องการให้ข้ายอมจำนนซึ่งข้าไม่ยินยอมอยู่แล้ว เขาจึงจับลูกชายสามคนของข้า หลังจากนั้นลูกชายคนโตของข้ากลับมาบอกว่าเขาต้องการให้ข้าฟังคำให้เป็นกบฏ เดิมทีข้าไม่ยอม เขาบอกข้าว่าลูกสาวของข้าถูกทำร้ายจนตายข้าถึงได้มีใจคิดกบฏ”
“ท่านพ่อ ท่านช่างเลอะเลือนนัก นิสัยพี่ใหญ่นั้นมักจะรีบร้อนกระทำการให้ได้ผลประโยชน์โดยไว เมื่อวัยเยาว์เขาทุบตีขาของพี่สามจนหักเพื่อที่จะได้รับคำชื่นชมจากท่านปู่ เขาทำแม้กระทั้งการทำร้ายพี่รองอีกด้วย หรือว่าท่านนั้นจำไม่ได้ซะแล้ว เหตุใดถึงได้เชื่อคำกล่าวของเขาผู้เดียวได้ ข้ายังหวาดกลัวว่าพี่รองพี่สามนั้นจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้หรือไม่”
“พ่อก็เคยคิดเช่นกันดังนั้นพ่อถึงได้คิดลังเลอยู่ตลอด ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าด้วยความสามารถของพ่อฉีจือซานเองนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้หรือ?”
จวินเจิ้งตงมองไปอย่างเย็นชาแล้วก่นด่าประโยคหนึ่ง: "ไร้จิตสำนึก!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ