มู่เหมียนดิ้นอย่างสุดแรง ดวงตาสีฟ้าของนาง ค่อย ๆ ลดความแข็งกร้าวลง
หนานกงเย่กดไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ขาของมู่เหมียนเกี่ยวขาของเขาไว้ แม้ว่าศิลปะการต่อสู้ของเขาจะยอดเยี่ยมมาก ก็ยังทำเรื่องนี้ไม่ไหว มู่เหมียนเกี่ยวเขาและลุกขึ้นจากเตียงทันที แต่เขากลับอุ้มฉีเฟยอวิ๋น ถอยหลังเตรียมจะออกไป
มู่เหมียนลุกขึ้นมาอย่างเขินอาย นางมองไปทางคนตรงหน้า พร้อมกับจ้องเขม็งไปยังจักรพรรดิอวี้ตี้
สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างมาก หนานกงเย่กล่าวขึ้นว่า : “เรื่องของฝ่าบาทก็ทรงจัดการเองเถิด กระหม่อมยังมีเรื่องสำคัญต้องไปทำพ่ะย่ะค่ะ ขอทูลลา”
กล่าวจบก็อุ้มฉีเฟยอวิ๋นเดินไป มู่เหมียนเดินโซเซไปตรงหน้าของจักรพรรดิอวี้ตี้ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปลูบไล้ไปบนใบหน้าขอจักรพรรดิอวี้ตี้ มู่เหมียนหน้าแดงก่ำจนแยกแยะไม่ออกว่าคนตรงหน้าคือผู้ใด
มู่เหมียนดึงเสื้อของจักรพรรดิอวี้ตี้สองครั้ง นางคิดจะเข้าไปสวมกอด แต่จักรพรรดิอวี้ตี้ฉีกเสื้อผ้าที่รุ่งริ่งบนร่างกายของมู่เหมียนออก เมื่อร่างกายสัมผัสกับอากาศเย็นยะเยือกภายนอก มู่เหมียนจึงได้แต่ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
แต่ในเสี้ยวเวลาหนึ่ง สมองของมู่เหมียนก็ได้สติกลับมาฉับพลัน แต่นางกลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
จักรพรรดิอวี้ตี้ขยับเข้าไปใกล้ บีบปลายคางของมู่เหมียนไว้ มองพิจารณาอย่างละเอียด จักรพรรดิอวี้ตี้อุ้มนางขึ้นมา
มู่เหมียนมองไปทางจักรพรรดิอวี้ตี้ แววตาวูบไหวไปมา เหมือนกับเด็กน้อย
จากนั้นก็ดึงม่านคลุมเตียงลง ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนยาวนานมาก
หนานกงเย่ตั้งใจจะจากไป แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่วางใจไม่ยอมจากไป
หนานกงเย่นั่งลงอยู่นอกตำหนัก เสี่ยวสวีจื่อเองก็ตื่นตกใจไม่แพ้กัน ยืนตัวสั่นงันงกด้วยความงุนงง
ผู้อื่นในวังก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ภายในปั่นป่วนจนไม่อาจสงบลงได้อีก เสียงหัวเราะสนุกสนานดังขึ้นเป็นระลอก แต่กลับสร้างความตื่นตกใจให้แก่ผู้ที่อยู่ภายนอกจนไม่กล้าหายใจ และไม่กล้าคิดมั่วซั่วอีก
ฉีเฟยอวิ๋นหน้าแดงก่ำ อายุเท่านี้ กระดูกกระเดี้ยวยังทำงานได้ปกติอีกหรือ?
สีหน้าของหนานกงเย่แย่ลงมาก จากนั้นเขาก็มองไปทางคนที่อยู่ในเหตุการณ์ : “ออกไปเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้หากมีคนแพร่งพรายออกไป ข้าจะฆ่าล้างบางทั้งตระกูล”
หนานกงเย่เป็นผู้ใด ใครเล่าจะไม่รู้จักใครเล่าจะไม่ทราบ มีสักกี่คนที่กล้าไม่ฟังคำสั่งของเขา
คนในวังทยอยกันคุกเข่า : “พวกบ่าวจะปิดปากเงียบ ไม่กล่าวสิ่งใดทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“อื้อ ออกไปเถอะ”
เวลานี้หนานกงเย่หงุดหงิดอย่างมาก ครั้นนึกถึงเรื่องที่ฉีเฟยอวิ๋นถูกกดอยู่บนเตียงเขาก็ยิ่งเจ็บปวดอยู่ในหัวใจ รู้สึกว่าไม่น่าช่วยมู่เหมียนเสียด้วยซ้ำ
ตายไปก็ดี
เวลานี้ใบหน้าของฉีเฟยอวิ๋นที่แดงก่ำจนถึงใบหูแสดงออกถึงความกังวล ไม่รู้ว่าร่างกายของมู่เหมียนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง นางจำได้แค่ว่า ในตอนที่นางโดนยาพิษก่อนหน้านั้น ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินออกมาในวันที่สาม
หนานกงเย่กล่าวว่า : “มานั่งข้างข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นและเดินไปตรงหน้าของหนานกงเย่ มือข้างหนึ่งของหนานกงเย่ได้ยื่นออกไป ฉีเฟยอวิ๋นถูกดึงมานั่งบนตักของเขา
จากนั้นก็หลุบตามองต่ำ ฉีเฟยอวิ๋นยิ่งเป็นกังวลกว่าเดิม
หนานกงเย่อุ้มฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นก็กัดไปบนใบหูของนางอย่างอดใจไม่ได้ เขามีความปรารถนามาก
เขาอยากจะควบคุมเรื่องนี้ให้ได้ แต่เมื่อเขานึกถึงเสน่ห์อันน่าเย้ายวนภายใต้เสื้อผ้านี้ เขาก็อดใจไม่ไหว
แต่เขาก็ทั้งโกรธทั้งเกลียดชัง : “ข้าจะโกรธแล้วนะ!”
ฉีเฟยอวิ๋นหันไปมอง และก็เห็นว่าอีกฝ่ายโกรธมากจริง ๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ฉีเฟยอวิ๋นจะคิดสิ่งใดได้ล่ะ ก็พรมจูบลงบนริมฝีปากของหนานกงเย่อย่างแผ่วเบา ความโกรธของหนานกงเย่หายไปครึ่งหนึ่ง ตามมาด้วยมือไม้ที่เริ่มซุกซนของหนานกงเย่ : “หากไม่มีคำอธิบายในเรื่องนี้ ข้าไม่มีวันยอมปล่อยผ่าน”
“จะอธิบายสิ่งใดละเพคะ ก็ไม่ใช่ความผิดของหม่อมฉันเสียหน่อย”
แววตาของหนานกงเย่สะท้อนความโกรธ : “ให้นางแตะต้องเนี่ยอ่านะ?”
“นางก็เป็นผู้หญิง มี....”
“บังอาจ!” ทันทีที่หนานกงเย่ได้ยินก็บันดาลโทสะทันใด กับผู้หญิงก็ได้อย่างนั้นหรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากทะเลาะ อีกทั้งนางยังคิดว่าหากหนานกงเย่โดนผู้ชายทำอะไรเช่นนั้น ก็คงไม่มีวันยอมแน่ ๆ
“แล้วจะทำอย่างไรละเพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน นางยังโดนจูบด้วยเสียอย่างนั้น หรือว่านางต้องตายสถานเดียว?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ