ฉีเฟยอวิ๋นคุยเรื่องสัพเพเหระกับพระพันปี พระพันปีผู้ไม่เห็นหน้าเจ้าห้าก็หดหู่ใจเล็กน้อย ฉีเฟยอวิ่นพลันพูดเอาอกเอาใจ ทั้งยังรับปากจะพาเจ้าห้าเข้าวังมาอยู่กับพระพันปีหนึ่งคืนอีกด้วย พระพันปีจึงอารมณ์เบิกบานขึ้นเล็กน้อย
หนานกงเย่มาถึงก็ได้ยินว่าจะพาบุตรชายเข้าวัง เขาก็ไม่ชักช้า ปล่อยให้ฉีเฟยอวิ๋นรั้งอยู่ในพระราชวัง ส่วนตัวเองก็กลับไปรับบุตรมาในบัดดล
ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่ได้อยากตามไปรับบุตรชายเข้าวัง เนื่องจากร่างกายรู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทน จึงอยู่คุยกับพระพันปีต่อและยังถือโอกาสแอบกระซิบวิธีการอยู่ร่วมกับเจ้าห้าให้แด่พระพันปีด้วย
เจ้าห้าเป็นคนขี้หึง หากทำอะไรผิดใจหน่อยก็จะชักสีหน้าให้ทันควัน
คุยไปสักพัก ฉีเฟยอวิ๋นก็พูดอ้อมๆให้พระพันปีฟัง พระพันปีรับฟังก็พอจะเข้าใจบ้างแล้ว พระนางได้ข้อสรุปว่า ไม่จำเป็นต้องมีวาจามากมาย เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนก็ไม่ต้องพูดสิ่งใดเลย แค่อุ้มเจ้าห้าอยู่เงียบๆเป็นพอ
เจ้าห้าชอบให้อุ้มยิ่งนัก
หนานกงเย่พาบุตรทั้งโขยงมาถึงพระราชวังอย่างเร็วไว ฉีเฟยอวิ๋นคำนวณเวลาเสร็จสรรพก็ออกไป โดยมีไห่กงกงกับแม่นมอีกสองคนร่วมทางด้วย
หนานกงเย่ลงจากรถม้าพลันอุ้มเจ้าห้าให้ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มลูกแล้วอดหอมแก้มไม่ได้ หนานกงเย่อุ้มมาคนหนึ่ง ที่เหลือก็ให้คนอื่นอุ้มเข้าวังด้วยกัน
พระพันปีเห็นหลานก็ดีใจยกใหญ่ พระองค์ทำตามคำบอกใบ้ของฉีเฟยอวิ๋น โดยอุ้มหลานแต่ละคน คนละหนึ่งรอบพร้อมกับกล่าวชื่นชมไม่หยุดหย่อน
สุดท้ายพระองค์ก็อุ้มเจ้าห้ามา พระพันปีอุ้มเจ้าห้าแบบไม่ยอมวางมือ เดินอุ้มวนไปเวียนมาอยู่ภายในพระตำหนักเฉาเฟิ่ง
ฉีเฟยอวิ๋นมองออก พระพันปีไม่ใช่ลำเอียงแค่นิดเดียวเท่านั้น เพียงอุ้มบุตรคนอื่นแค่ครู่เดียวและชื่นชมไม่กี่ประโยคเท่านั้น ทว่าเมื่ออุ้มเจ้าห้ากลับไม่ยอมปล่อยมือ ทั้งยังไปไกล ด้วยเกรงว่าหลานคนอื่นได้เห็นได้ยินแล้วจะน้อยเนื้อต่ำใจ
ไห่กงกงที่ติดตามอยู่ด้านข้างก็ชอบอกชอบใจเจ้าห้าเป็นพิเศษ เด็กๆที่เหลืออีกสี่คนล้วนน่ารักกันหมด ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมีเจ้าห้าอยู่ก็มักจะมองข้ามพวกเขา
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกสงสารบุตรที่เหลือ จึงอยู่เล่นเป็นเพื่อนบุตรที่เตียงแกะสลักลายดอกสาลี่ของพระพันปี
ลูกๆทั้งหลายก็ล้วนพึงพอใจ ขอเพียงมีมารดาอยู่ด้วย อย่างอื่นก็ไม่สำคัญ
พระพันปีอุ้มเจ้าห้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะมีโอกาสอยู่กับมารดา
ยามที่เจ้าห้าอยู่ด้วย พวกเขาล้วนเป็นบุตรของแม่นมทั้งสิ้น
ข่าวสมาชิกครอบครัวทั้งเจ็ดชีวิตของพวกเขาเข้าพระราชวังมาถูกลือกระฉ่อนทั่วทั้งวัง มู่เหมียนได้ยินว่าฉีเฟยอวิ๋นพาบุตรมาก็รีบแต่งองค์ทรงเครื่อง ก่อนจะมุ่งหน้าไปพระตำหนักเฉาเฟิ่ง จักรพรรดิอวี้ตี้ก็เสด็จมาจากพระตำหนักบำรุงฤทัยด้วย กระทั่งพระมเหสีหวาก็ยังอดใจมาดูเด็กๆไม่ได้ เมื่อเด็กๆส่งยิ้มให้พระนาง พระนางก็ยิ้มแก้มปริอย่างชื่นมื่นเช่นกัน
พระตำหนักเฉาเฟิ่งจึงครื้นเครงขึ้นมา เวลารัตติกาล ทว่าก็ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอน ต่างตั้งหน้ามาดูเด็กๆกันหมด
"พี่หญิงดูสิยิ้มให้ข้าด้วย หน้าตาดีมากเลยเพคะ" พระมเหสีหวาอุ้มเจ้าสามไม่หยุด พลางรู้สึกว่าหน้าตาคนในอ้อมแขนละม้ายคล้ายคลึงกับท่านอ๋องตวนมาก
พระพันปีทอดพระเนตรปราดหนึ่ง ก่อนจะรับสั่งว่า "เจ้าเป็นเสด็จย่าไทเฟยของเขา ย่อมต้องยิ้มให้เจ้าแน่"
"ใช่เพคะ พี่หญิงทรงรู้สึกไหมว่าองค์ชายสามหน้าตาเหมือนอ๋องตวนนะเพคะ?" พระมเหสีหวารับสั่งอย่างเบิกบาน
พระพันปียังคงอุ้มเจ้าห้าดุจเดิม พลางมองเจ้าสามปราดหนึ่ง "ใช่หรือ?"
พระพันปีลอบคิดในใจ นี่บุตรของอ๋องเย่นะ ไฉนจึงเหมือนอ๋องตวนล่ะ พระมเหสีหวาดูผิดแล้ว
พระมเหสีหวาไม่ยอมเลิกรา จึงได้ยินพระมเหสีหวารับสั่งต่อว่า "พี่หญิง บุตรที่เหมือนท่านลุง ท่านอามีถมเถไปเพคะ หม่อมฉันดูแล้วองค์ชายสามเหมือนอ๋องตวนเพคะ พระองค์ทรงทอดพระเนตรพระจักษุ พระนาสิก และพระขนงสิเพคะ เหมือนอ๋องตวนยามเด็กมากเลยเพคะ"
พระพันปีรู้สึกคับอกคับใจ เจ้าไม่มีหลานเป็นของตัวเอง เลยคิดจะเอาของข้าเป็นของตัวเองหรือ?
ช่างเถอะ ข้ามีหลานเป็นโขยงแล้วนี้
มู่เหมียนก็อุ้มเดินเล่นคนหนึ่ง
ครั้งนี้มู่เหมียนปรับร้ายให้กลายเป็นดีได้ล้วนเป็นความดีความชอบของฉีเฟยอวิ๋น ระหว่างพวกนางไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใดมาก ทว่าก็รู้สึกดั่งพี่น้องในอุทรเดียวกัน
ก่อนหน้านี้นางไม่ได้มอบของขวัญให้แก่เด็กๆเลย ครั้งนี้มู่เหมียนได้เตรียมไว้แล้ว นางมอบกำไลทองที่เฝ้าดูขั้นตอนการผลิตด้วยตัวเองแก่เด็กๆ ซึ่งกำไลทองนี้สามารถปรับขนาดเล็กใหญ่ตามใจชอบ และยังได้สลักชื่อ เจ้าใหญ่ เจ้ารอง เจ้าสาม ตามลำดับอีกด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ