จักรพรรดิอวี้ตี้อึดอัดใจกับเรื่องนี้อย่างมาก กองทัพกลับมาพร้อมกับชัยชนะ เดิมทีต้องเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ผลลัพธ์กลับถูกอันเสี่ยวฮวนเพียงผู้เดียวทำให้เรื่องทุกอย่างกลายมาเป็นเช่นนี้
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางท่านแม่ทัพฉี : “ท่านแม่ทัพฉี ท่านจะอธิบายว่าอย่างไร?”
“กระหม่อมไม่มีสิ่งใดจะอธิบาย กระหม่อมไม่มีบุตรบุญธรรม กระหม่อมอยู่แต่ในเมืองหลวงตลอด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท มีคนบอกว่ากระหม่อมมีบุตรชายจะบังคับให้กระหม่อมยอมรับว่ามีบุตรชายไม่ได้ หากกระหม่อมมีบุตรชายจริง กระหม่อมยังจะไร้ผู้สืบทอดเช่นนี้หรือ?”
สีหน้าของแม่ทัพฉีลำบากใจมาก เขามองไปยังแม่ทัพหวาอย่างไม่พอใจ : “แม่ทัพหวา เจ้ามีบุตรชาย บุตรชายของเจ้าทั้งกล้ากาญทั้งเชี่ยวชาญด้านสงคราม แต่ข้าไม่มี
บัดนี้บุตรสาวของเจ้าแม่ทัพหวาก็ปีกกล้าไม่ใช่น้อย กล้ารังแกข้าถึงเพียงนี้?”
ท่านแม่ทัพฉีโพล่งคำเหล่านี้ออกไป ตรงกันข้ามกลับเป็นแม่ทัพหวาที่หน้าแดงด้วยความอับอาย
แม่ทัพหวาพึมพำอยู่ในใจ ฉีจือซานไม่ใช่ผู้ที่ใจแคบเช่นนั้น
“ท่านอ๋องเย่ ท่านอ๋องหย่งจวิ้น พวกเจ้าบอกมาสิ ว่าใช่ฉีเสี่ยวฮวนผู้นี้หรือไม่ เขาเป็นบุตรบุญธรรมของท่านแม่ทัพฉีดั่งที่พูดกันใช่หรือไม่ เวลานั้นท่านอ๋องเย่ก็อยู่ เขาก็ยอมรับ”
จักรพรรดิอวี้ตี้และผู้อื่นมองไปทางหนานกงเย่และท่านอ๋องหย่งจวิ้น
หนานกงเย่จึงกล่าวว่า : “คนนี้มีตัวตนจริงอย่างแน่นอน แต่ข้าไม่เคยพูดว่าเขาเป็นบุตรบุญธรรมของพ่อตา”
แม่ทัพหวามีสีหน้าฉงนอย่างชัดเจน มั่นใจว่าได้ว่า หนานกงเย่ไม่เคยพูด
แต่แม่ทัพหวาก็ไม่ได้โง่เขลาเพียงนั้น
“ท่านอ๋องเย่ เจ้าไม่เคยพูด แต่อันเสี่ยวฮวนเคยพูด ต่อมาเจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธ เรื่องนี้ท่านอ๋องหย่งจวิ้นก็เป็นพยานได้” แม่ทัพหวามองไปทางท่านอ๋องหย่งจวิ้นด้วยสายตาดุดันราวกับเสือ บอกท่านอ๋องหย่งจวิ้นเป็นนัยว่าหากพูดโกหกอีกคำเดียว เขาจะไม่ปล่อยท่านอ๋องหย่งจวิ้นไปเป็นแน่
ท่านอ๋องหย่งจวิ้นจึงตอบกลับตามความจริง : “กราบทูลฝ่าบาท ศิษย์น้องอันเสี่ยวฮวนมารายงานด้วยตนเอง บอกว่าเป็นบุตรของท่านแม่ทัพฉี”
“หา?”
จักรพรรดิอวี้ตี้ต้องมองไปทางท่านแม่ทัพฉีอีกครั้ง ปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป เรื่องนี้ไม่มีทางจบแน่
“ท่านแม่ทัพฉี เจ้าจะอธิบายว่าอย่างไร?”
“กระหม่อมไม่มีสิ่งใดต้องพูด ยอมรับว่ากระหม่อมเคยเจอกับคนผู้นี้มาก่อนจริง ๆ คนผู้นี้ได้รับความดีความชอบในสงครามเสมอ แต่แล้วตอนนี้เจ้าตัวอยู่ที่ใดละ?”
สีหน้าของท่านแม่ทัพฉีแสดงความไม่พอใจอย่างมาก คงจะไม่ได้ดูรังแกง่ายเกินไปหรอกนะ
ราชสำนักพากันฮือฮา นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางแม่ทัพหวา : “แม่ทัพหวา แม่ทัพฉีไม่เคยได้ยินเรื่องที่ตนมีบุตรบุญธรรมจริง ๆ เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอบังอาจ สืบค้นเรื่องราวเกี่ยวกับจวนแม่ทัพรวมทั้งจวนอ๋องเย่โดยไม่ได้รับอนุญาต หากไม่มี ก็ทำการปิดล้อมเมืองหลวง และสืบค้นต่อไป”
แม่ทัพหวาไม่เชื่อ ว่าจะหาคนผู้นี้ไม่เจอ
“ฝ่าบาท เป็นไปได้ว่าอาจจะมีหญิงสาวคนอื่น ชอบพอกับศิษย์น้องผู้นี้ เลยซ่อนตัวไว้?” แม่ทัพหวาไม่ไว้หน้ากันอีกแล้ว
จักรพรรดิอวี้ตี้เงียบไปชั่วขณะ แม่ทัพฉีกลับกล่าวอย่างไม่พอใจว่า : “แม่ทัพหวา นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ เจ้าพูดโป้ปดหาว่าข้ามีบุตรชาย แต่ ข้าไม่เคยมีบุตรชายมาก่อน เรื่องนี้หากแพร่งพรายออกไป มีหวังถูกคนหัวเราะขบขันเป็นแน่?”
ท่านแม่ทัพฉีเองก็ไม่อ้อมค้อม จักรพรรดิอวี้ตี้ชำเลืองตามองครู่หนึ่ง ปล่อยให้ทั้งสองทะเลาะกันแอง หวาชิงยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่สุดท้ายนางก็สงบลงจนได้
ไม่ว่าอันเสี่ยวฮวนจะเป็นบุตรชายของแม่ทัพฉีหรือไม่ เขามีตัวตนจริง แม้ว่าผู้อื่นจะไม่เชื่อ แต่นางไม่ได้ตาฝาดคิดว่าว่ามันเป็นความฝันอันงดงามเป็นแน่
“ฝ่าบาท อันเสี่ยวฮวนเป็นผู้ใดไม่สำคัญหรอก หม่อมฉันอยากเจอเขา เขาเคยให้สัญญาว่าจะแต่งงานกับหม่อมฉัน ซึ่งหม่อมฉันเองก็ให้สัญญากับเขาเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรหม่อมฉันจะไม่มีวันยอมแพ้
บางทีการแต่งงานครั้งที่สอง ผู้หญิงอาจถือเกียรติยศเป็นสำคัญ ได้โปรดฝ่าบาทพระราชสมรสด้วยเถิด!”
“อ่า?” จักรพรรดิอวี้ตี้เองก็ตกใจไม่น้อย นี่เป็นการมัดมือชกชัดๆ !
จะหาเจ้าตัวเจอหรือไม่ ก็ต้องถูกบังคับเช่นนี้หรือ?
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางท่านแม่ทัพทั้งสองหน้าดำหน้าแดง ทั้งสองคนกำลังรอให้จักรพรรดิอวี้ตี้กล่าวบางอย่าง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ