ฉินอู๋ต้าวเหลือบมองฉินซู และถามอย่างใจเย็น “องค์รัชทายาท เจ้ามีแผนการดี ๆ จริงรึ?”
ฉินซูพูดอย่างใจเย็น “ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมไม่มีความคิดดีๆ เลยพ่ะย่ะค่ะ"
ทันทีที่เขาพูดจบ ฉินเหยี่ยนก็พูดด้วยความเย้ยหยัน “เมื่อเสด็จพี่องค์รัชทายาท ตอนท่านวิจารณ์ทูตของเป่ยเยี่ยน ดูดุดันมากเพียงนั้น ตอนนี้กลับบอกว่าไม่มีความคิดดี ๆ อะไรเลย นี่มิไร้สาระไปหน่อยหรือ?"
“เช่นนั้น หากไม่มีแผนดี ๆ แล้วท่านยังจะเสนอให้ทำสงครามอีกหรือท่านอยากเห็นต้าเหยียนของเราตกที่นั่งลำบาก หรือท่านอยากอวดตัวต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงกันแน่?”
ฉินหงก็สนับสนุนทันที เขามิอยากพลาดโอกาสที่จะได้เหยียบย่ำองค์รัชทายาทต่อหน้าขุนนางทั้งหลายเช่นนี้
หลินซียังถามอีกว่า “ในเมื่อองค์รัชทายาทไม่มีแผนการในใจ เหตุใดท่านถึงมิเห็นด้วยกับการคืนเมืองชิ่งโจวให้กับเป่ยเยี่ยนเล่า?”
ฉินซูวางมือไพล่หลังและส่งเสียงฮึมฮัม “หึ เมืองชิ่งโจวเดิมทีเป็นดินแดนของต้าเหยียน เหล่าทหารพยายามอย่างยากลำบากกว่าจะยึดกลับคืนมาได้ แต่พวกเจ้ากลับต้องการคืนชิ่งโจวให้เป่ยเยี่ยน การกระทำเช่นนี้มิเพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเราเท่านั้น แต่ยังบ่อนทำลายขวัญกำลังใจของทหารชายแดนอีกด้วย ถามหน่อยเถิดว่า หากภายภาคหน้าเกิดสงครามขึ้น ทหารจะยังมีขวัญกำลังใจในการสู้รบอีกหรือ?”
“องค์รัชทายาท กระหม่อมยอมรับว่าสิ่งที่ท่านตรัสนั้นสมเหตุสมผลอยู่บ้าง แต่หากมิคืนเมืองกลับไป ถึงเวลานั้นเป่ยเยี่ยนยกทัพมาโจมตีแล้วเราจะรับมืออย่างไร?”
“ถูกต้อง เราจะมิทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร หากเรามิส่งชิ่งโจวกลับไปให้เป่ยเยี่ยน ถึงเวลานั้นหากกองทัพใหญ่ยกมาจริง ๆ คนที่ต้องทนทุกข์ทรมานก็ยังคงเป็นราษฎรและทหารชายแดน”
“กระหม่อมก็มิเห็นด้วยกับการทำสงครามเช่นกัน ดินแดนต้าเหยียนของเรา ทางใต้ถูกน้ำท่วม ทางเหนือถูกภัยแล้ง ผู้คนจำนวนนับมิถ้วนได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ หากเราทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนในยามนี้ และมิสามารถจัดหาเสบียงอาหารได้แล้วจะให้ทหารต่อสู้กับเป่ยเยี่ยนได้อย่างไร?”
เหล่าขุนนางต่างแสดงความคิดเห็น คนอื่น ๆ ต่างสนับสนุนการระงับเหตุการณ์มิให้บานปลาย เว้นแต่ฉินซู
ฉินอู๋ต้าวหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนมิพอใจ
แต่แล้วฉินซูก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
เขาโค้งคำนับฉินอู๋ต้าว และพูดอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อ ลูกมีแผนการหนึ่ง ซึ่งมิเพียงแต่มิต้องคืนเมืองชิ่งโจวให้กับเป่ยเยี่ยนได้เท่านั้นแต่ยังหลีกเลี่ยงสงครามได้อีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนก็ตกตะลึง
ฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วและถามว่า “เมื่อครู่เจ้ายังบอกว่าไม่มีแผนการมิใช่รึ แล้วตอนนี้มีแผนการแล้วรึ?”
“เสด็จพ่อ แผนการนี้ของลูกมิใช่แผนการที่ดีนัก ทว่าถ้านำไปใช้จริงก็สามารถถ่วงเวลาไปจนกว่าภัยพิบัติจะคลี่คลาย ถึงเวลานั้นแม้เป่ยเยี่ยนจะต้องการทำสงคราม เราก็มิกลัวพวกเขาแล้ว!”
“หืม? ลองว่ามาสิ!”
ฉินซูกล่าวด้วยถ้อยคำที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจว่า “อันที่จริงก็ง่ายมาก มู่หรงฟู่เป็นองค์ชายห้าของเป่ยเยี่ยนมิใช่หรือ เราเพียงกักตัวเขาไว้ชั่วคราวแล้วเป่ยเยี่ยนก็จะมิกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม!”
ทันทีที่คำกล่าวนี้ออกมา จู่ ๆ ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ในศาลก็มองหน้ากันด้วยความสับสน
ฉินเหยี่ยนยิ้มอย่างเย็นชา เอ่ยเย้ยหยัน “เสด็จพี่องค์รัชทายาท ความคิดของท่านนี่ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง มู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ เป็นทูตของเป่ยเยี่ยนที่มาที่นี่เพื่อเจรจา ตอนนี้ท่านคิดจะกักตัวเขา เรื่องนี้หากแพร่กระจายออกไป แคว้นอื่น ๆ จะมองต้าเหยียนของเราอย่างไรเล่า?
“ถูกต้อง ถึงเวลานั้นต้าเหยียนจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?”
“ข้าเกรงว่า องค์รัชทายาทจะลืมไปว่าสองแคว้นที่ทำสงครามกัน เราจะมิสังหารทูตระหว่างทั้งสองแคว้น นี่เป็นกฎเหล็ก หากละเมิดกฎนี้จะทำให้ราษฎรโกรธเคืองอย่างมาก”
เมื่อเผชิญกับการเยาะเย้ยและความถามของทุกคน ฉินซูก็ยังคงสงบ
เขาพูดอย่างมิสะทกสะท้านว่า “มีเพียงผู้อ่อนแอเท่านั้นที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่เรียกว่ากฎ ผู้แข็งแกร่งจะสร้างกฎของตนเอง และเราต้าเหยียนต้องเป็นคนสร้างกฎนั้น”
คำพูดที่ทรงพลังของเขา ทำให้หลายคนมองเขาด้วยความสงสัย
ขุนนางบางคนถึงกับเริ่มกระซิบกระซาบกันเบา ๆ
“ว่ากระไรนะ สร้างกฎงั้นหรือ เหตุใดวันนี้องค์รัชทายาทจึงดูเหมือนเป็นคนละคนเลยเล่า?”
“แท้จริงแล้ว วันนี้องค์รัชทายาทพูดจาแข็งขันมาก โดยเฉพาะคำพูดมิกี่คำเมื่อครู่ หนักแน่นมากจริง ๆ”
……
ฉินอู๋ต้าวมีรอยยิ้มที่หายากเกิดขึ้น และกล่าวว่า “ดีมาก เป็นเรื่องยากองค์รัชทายาทจะคิดแผนการอันแยบยลเช่นนี้ขึ้นมาได้ ในที่สุดก็เป็นไปตามความคาดหวังของข้า”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉินหง ฉินเหยี่ยนและองค์ชายคนอื่น ๆ ก็รู้สึกมิพอใจในทันที
ฉินเหยี่ยนกลอกตาและถามอย่างมุ่งร้าย “เสด็จพี่องค์รัชทายาท ด้วยแผนของท่าน ท่านจะสามารถรั้งมู่หรงฟู่ไว้ได้หนึ่งเดือน แต่แล้วหลังจากวันเกิดของเสด็จย่าทวดเล่า?”
ฉินหงยังกล่าวอีกว่า “ใช่แล้ว ถึงเวลานั้นเขาก็จะกลับไปยังเป่ยเยี่ยน เรายังมีวิธีอื่นที่จะรั้งให้เขาอยู่ต่อหรือไม่ หากท่านไม่มีวิธีรับมืออื่นทุกอย่างก็จะสูญเปล่า ภัยพิบัติภายในแคว้นจะกินเวลาอย่างน้อยห้าถึงหกเดือนกว่าจะคลี่คลาย ในช่วงเวลานั้นเรามิอาจทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนได้มิว่าอย่างไรก็ตาม”
ฉินอู๋ต้าวเลิกคิ้วแล้วถามว่า “องค์รัชทายาท เจ้ามีแผนการอะไรต่อไปหรือไม่?”
“เสด็จพ่อ ดูเหมือนว่า มู่หรงฟู่จะยังมิแต่งงานใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ถึงเวลานั้นเสด็จพ่ออาจหาข้ออ้าง จัดการเรื่องการแต่งงานให้เขาสักครา”
“เจ้าหมายถึงการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์รึ?”
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ เสด็จพ่อสามารถเลือกหนึ่งในองค์หญิงหลาย ๆ องค์ได้ องค์หญิงหนึ่งองค์แลกเมืองหนึ่งเมือง มิว่าจะมองอย่างไรก็คุ้มค่า หากได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมก็อาจช่วยต้าเหยียนของเรายับยั้งความโลภของเป่ยเยี่ยนได้ นี่มิใช่ได้ประโยชน์สองต่อหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ!”
ฉินอู๋ต้าวยิ้มและส่ายหน้า “เจ้าไร้เดียงสาเกินไป การแต่งงานเพียงอย่างเดียวจะขจัดความทะเยอทะยานอันโหดร้ายของเป่ยเยี่ยนได้อย่างไร ถึงอย่างนั้น ความคิดของเจ้าก็ยังใช้การได้ ดึงเวลาไปได้อีกหน่อย แล้วต้าเหยียนของเราก็จะผ่านพ้นจากหายนะไปได้”
เมื่อเห็นฉินซูได้รับคำชม ฉินหงรู้สึกมิสบายใจมากยิ่งขึ้น
เขากลอกตาแล้วถามว่า "เสด็จพี่องค์รัชทายาท จะเกิดอะไรขึ้นหากมู่หรงฟู่มิชอบองค์หญิงที่เสด็จพ่อทรงเลือกไว้ให้เล่า?”
ฉินซูยิ้มอย่างมีเลศนัยและมองฉินหงแวบหนึ่ง
เมื่อเห็นสายตาแปลก ๆ ของเขา หัวใจของฉินหงก็เต้นรัว ลางสังหรณ์มิดีผุดขึ้นในใจ!

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน