โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง นิยาย บท 248

ตอนที่ 249 ฉันอยากรอคุณกลับบ้าน

หลังจากเวลาผ่านไป 40 นาที หลี่จี้ก็มาถึง

สามีของเธอยังคงอยู่ที่สถานที่เกิดเหตุเพื่อจัดการเกี่ยวเรื่องอุบัติเหตุ

เธอช่วยอันหรันสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้น:“คุณชายน้อยคะ ที่คุณหนูเธอป่วยก็เพราะเธอตากลมหนาว”

เมื่อทราบสาเหตุของอาการป่วย ฮั่วเทียนหลันก็เริ่มจะเก็บความโกรธภายในใจไว้ไม่อยู่

เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

“อืม ช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยน เธอคงไม่ทันระวังน่ะ”

ในขณะที่หลี่จี้กำลังจะจัดยา อันหรันที่สติเลอะเลือนก็พูดขึ้น :“คุณชายฮั่ว ทำไมคุณถึงยังไม่กลับบ้าน ข้างนอกอากาศหนาวมาก ฉันหนาวจนแทบจะแข็งตายอยู่แล้ว ทำไมคุณถึงยังไม่กลับมาอีก……”

คำพูดของอันหรันที่ถูกเอ่ยขึ้นมาตอนไม่มีสติ กำลังถูกอธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้เธอไม่สบาย

หลี่จี้นิ่งงันไปพักหนึ่ง เธอรู้สึกหนาวที่หลังแปลกๆ คล้ายกับว่าตัวเองได้ยินในสิ่งที่ไม่ควรจะได้ยินเข้า

ฮั่วเทียนหลันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ผู้หญิงโง่คนนี้ เป็นเพราะเขากลับบ้านช้า เธอจึงยืนรออยู่ข้างนอกอย่างนั้นหรือ

เธอไม่รู้หรือไงว่าร่างกายของตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหน แล้วยังไปยืนทนหนาวอยู่เช่นนั้นอีก

น่าเสียดายที่คำพูดนี้ ต้องรอให้อันหรันตื่นก่อนถึงจะพูดได้

หลังจากหลี่จี้สั่งยาเสร็จ ก็ให้อันหรันกินก่อนหนึ่งครั้ง แล้วพูดกับฮั่วเทียนหลันว่า : “คุณชายน้อยคะ โดนอากาศหนาวจนไม่สบายแบบนี้จะหายช้านิดนึงนะคะ ยานี้ให้กินวันละ 2 ครั้ง ให้คุณหนูดื่มน้ำอุ่นเยอะๆขับพิษไข้ออก นี่เป็นยาช่วยไล่ลม ต้มดื่มทุกวันแค่ตอนกลางวันก็พอ……”

ฮั่วเทียนหลันตอบรับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นหลี่จี้จึงเดินออกไป

เขาเฝ้าดูแลอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากกินยาอันหรันก็มีสติขึ้นมาบ้างแล้ว อุณหภูมิร่างกายก็ลดลงไปมากเช่นกัน

แต่เธอรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างราวกับโดนม้าห้าตัวรุมฉีกร่างกายของเธอออกเป็นชิ้นๆ

เธอกระหายน้ำขึ้นมาเล็กน้อยจึงค่อยๆลืมตาขึ้น ก่อนจะเห็นเงาเบลอของใคคนหนึ่ง :“คุณชายฮั่วคะ ฉันอยากดื่มน้ำ คุณช่วย……”

เธอยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกฮั่วเทียนหลันเอามือปิดที่ปาก เพราะไม่อยากให้เธอใช้แรงมากนัก

ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ได้ดื่มน้ำ

ครั้งนี้ฮั่วเทียนหลันไม่ต้องช่วยป้อนทีละคำ เพราะเธอกลับมามีแรงขึ้นบ้างเล็กน้อยแล้ว สามารถดื่มน้ำเองได้

หลังจากดื่มน้ำเสร็จ อันหรันหายใจออกยาวๆ สายตาที่ซับซ้อนมองไปที่ฮั่วเทียนหลันก่อนจะเอ่ย:“ขอบคุณนะคะ สา สามี”

ฮั่วเทียนหลันใจเต้นขึ้นมาเมื่อถูกอันหรันเอ่ยเรียกเช่นนั้น

ตอนที่เธอแต่งงานเข้ามาให้บ้านฮัว เพื่อที่จะเล่นละครตบตาคนอื่นเธอจึงยอมเรียกเขาว่าสามี

แต่ยิ่งเรียกก็ยิ่งรู้สึกกระดากปาก ดังนั้นเธอจึงเว้นคำว่าสามีเอาไว้ และเรียกเขาว่าคุณชายฮั่วแทน

แต่ตอนนี้ที่เธอเรียกเขาว่าสามีขึ้นมาอีกครั้ง มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ

คือความรักงั้นเหรอ

เขาก็รีบเอาความคิดนี้ออกไปจากหัว

ผู้หญิงคนนี้ไข้ลดแล้ว มันถึงเวลาที่ต้องคิดบัญชีกับเธอแล้วล่ะ

"คืนนี้เธอรอฉันกลับมาที่บ้านเหรอ"

ฮั่วเทียนหลันพูดด้วยความโกรธหน่อยๆ ทำให้อันหรันเครียดขึ้นเล็กน้อย เธออืมตอบเบาๆ ราวกับกำลังอธิบาย :“ฉันอยากรอคุณกลับบ้าน”

"ฉันตัวโตขนาดนี้ จะหายไปไหนได้"

อันหรันอ้าปากอยากจะพูดอธิบายสักหน่อย แต่พูดอะไรออกไปก็ดูเหมือนจะผิดไปเสียหมด

“บอกไม่ให้ออกไปไหนก็ยังจะออกไป สุดท้ายเป็นไข้ไม่สบายแล้วเช่นนี้ สมใจเธอรึยังล่ะ”

“ทำตัวเหมือนกับเด็กเข้าไปทุกที คิดจะพึ่งฉันอยู่แบบนี้หรือไง”

อันหรันตอบในใจเงียบๆ : ค่ะ

โลกที่เธอเคยอยู่ต่างก็ล้อมรอบไปด้วยลั่นลาน

แต่โลกของเธอตอนนี้กลับล้อมรอบไปด้วยฮั่วเทียนหลัน

ลั่นลานคือสิ่งที่ฮั่วเทียวหลันสร้างขึ้นมา ผู้ร้ายที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของอันหรัน ก็คือเขา

เขาขโมยหัวใจตัวเอง ถึงแม้ว่าจะจากไปนานหลายปีแล้ว และกลับมาอีกกี่ครั้งก็ยังคงมีเรื่องราวของเขาอยู่

“ขอ ขอโทษค่ะ…….”

ในใจของอันหรัน นี่คงจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วแหละ

ฮั่วเทียนหลันหัวเราะแห้งๆ เขาเอาแขนของอันหรันที่ออกมานอกผ้าห่ม ใส่กลับเข้าในผ้าห่มดังเดิมก่อนจะพูดขึ้น:“ขอโทษแล้วมีประโยชน์เหรอ ทุกวันนี้มีเรื่องอะไรก็ต้องให้ฉันคอยสอนงั้นสิ ถ้าหากวันนี้ฉันไม่ได้กลับบ้าน เธอก็ยังจะรออยู่ข้างนอกอย่างงั้นใช่ไหม เธอรู้ไหมว่าการได้รับความเย็นที่รุนแรงเช่นนั้นสามารถทำให้ผิวหนังตายได้ อาจถึงขั้นต้องตัดแขนตัดขา หรือไม่แน่อาจจะถึงตายเลย……. ”

อันหรันเม้มปากอย่างไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา

เธอรู้สึกว่าฮั่วเทียนหลันกำลังทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ความจริงมันไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นซะหน่อย

แต่ท่าทางเคร่งขรึมของฮั่วเทียนหลัน นั่นทำให้เธอไม่กล้าที่จะพูดออกอะไรออกมา

ฮั่วเทียนหลันเห็นอันหรันทำท่าหวาดกลัวก็ยิ่งทำให้เขาโมโหขึ้นมา

ผู้หญิงคนนี้ ทุกครั้งที่เขากล่าวตำหนิเธอ เธอก็ชอบทำท่าสำนึกผิดแล้วเสมอ

แต่พอผ่านไปสักพักก็ยังทำเหมือนเดิม

เขาหยิบผ้าขนหนูผืนใหม่ขึ้นมาก่อนจะชุบน้ำแล้วนำมาเช็ดตัวให้อันหรัน

การถูกกระทำเช่นนี้ในตอนที่มีสตินั้นทำให้อันหรันรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย เธอเอ่ยขึ้นเสียงเบา :“คุณชายฮั่วคะ เดี๋ยวฉันทำเอง!”

ฮั่วเทียนหลันกวาดสายตามองไปที่อันหรันก่อนจะเอ่ย :“เธอมีแรงจับผ้าด้วยเหรอ”

อันหรันยื่นมือออกไปคว้า แต่ก็ถูกฮั่วเทียนหลันชักมือหลบ

เขากดอันหรันลงนอนราวกับเธอเป็นหุ่นกระบอก ก่อนจะพลิกตัวเธอแล้วทำการเช็ดเหงื่อที่เริ่มผุดออกมาตามตัว จากนั้นให้อันหรันขยับไปนอนบนเตียงอีกฝั่งหนึ่ง

ร่างกายที่เริ่มเย็นลงทำให้อันหรันรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก ก่อนจะเผลอหลับไปในที่สุด

ในความฝัน เธอรู้สึกร้อนมากจนเตะผ้าห่มที่คุลมอยู่บนตัวออกไปหลายครั้ง

ลำบากให้ฮั่วเทียนหลันลุกขึ้นดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้เธออยู่อย่างนั้น

ไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไหร่ที่ฮั่วเทียนหลันลุกขึ้นห่มผ้าให้เธอ จนเขาเริ่มรู้สึกรำคาญขึ้นมา

เขาดึงผ้าห่มออกมาอย่างตัดความรำคาญ ถ้าเธอไม่อยากห่มนักก็ไม่ต้องห่มมันแล้ว

เสื้อนอนของอันหรันก็เปิดขึ้นตาม หน้าท้องอันราบเรียบมีรอยอะไรบางอย่าง ทำให้ฮั่วเทียวหลันเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที ถ้าเขาจำไม่ผิดรอยแบบนี้ น่าจะเป็นรอยที่เกิดจากการตั้งครรภ์

ผู้หญิงคนนี้เคยมีลูกงั้นหรอ

คิดถึงตรงนี้ ฮั่วเทียนหลันก็นึกถึงข้อมูลแต่ก่อนของอันหรัน

เดิมทีฮั่วเทียนหลันยังมองว่าอันหรันดูอ่อนแอ แต่ตอนนี้เธอกลับดูราวกับกำลังหาเรื่อง

เขาทำหน้าดุแล้วมองไปที่อันหรัน ผู้หญิงคนนี้ ปิดบังเรื่องของตัวเองไว้เท่าไหร่กันแน่

เขาเอาผ้าห่มที่ยึดมาจากเธอ ห่มให้กับตัวเอง

เธอร้อนนักไม่ใช่เหรอ งั้นก็นอนหนาวจนแข็งตายไปเลย

แต่เขาก็นอนไม่หลับพลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น

ดูเหมือนว่าผู้หญิงข้างๆที่ไข้เพิ่งลดไป กำลังจะหนาวตายและไข้ขึ้นอีกครั้ง

เอาเถอะ ถึงอย่างไรเธอก็อยู่กับฉันมานาน แม้ว่าจะไม่เคยทำประโยชน์อะไรต่อฉันเลย

แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ถือว่าเป็นภรรยาของฉัน

ฮั่วเทียนหลันปลอบใจตัวเอง แล้วก็แบ่งผ้าห่มครึ่งหนึ่งห่มลงบนตัวอันหรัน

วันต่อมากว่าอันหรันจะตื่นก็เป็นเวลาใกล้เที่ยง

เธอตื่นนอนทั้งท่างอตัวราวกับกุ้ง ว่ากันว่าคนที่นอนท่านี้มักจะมีความรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่ในใจ

ร่างกายของเธออ่อนเพลียมาก ต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะยกตัวเองขึ้นนั่งที่บนเตียง

เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะพบกับกระดาษโน๊ตแปะอยู่

เธอหยิบขึ้นมาดู เป็นฮั่วเทียนหลันที่เขียนเอาไว้:“ยาวางอยู่บนตู้ตรงหัวเตียง กินวันละ 2 ครั้ง ยาต้มฉันให้ป้าDingช่วยต้มให้แล้วไว้ดื่มตอนเที่ยงไม่สบายก็อย่าออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ไหนอีก”

ประโยคสุดท้ายถูกฮั่วเทียนหลันขีดเส้นใต้เอาไว้ เป็นเครื่องหมายย้ำว่าอันหรันต้องเชื่อฟังและทำตาม

ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ มุมปากของอันหรันยกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

การถูกคนที่เรารักดูแลเป็นห่วงเป็นใยเรา มันมีความสุขจริงๆเลยนะ

หลังจากที่กินยาไป ร่างกายก็เริ่มกลับมามีแรง เธอล้างหน้าแปรงฟันแล้วจึงลงไปข้างล่างเห็นป้าDingเตรียมข้าวกลางวันไว้ให้เรียบร้อย

เพราะเป็นวันฉลองตรุษจีน ป้าDingก็เลยกลับมาที่บ้านฮัว

หลี่รูยาก็ถูกเพื่อนชวนไปเล่นไพ่นกกระจอกแต่เช้า ฮัวเส้าซู่ก็ยิ่งทนอยู่ไม่ได้ ที่บ้านเหลือเพียงคนรับใช้อยู่ไม่กี่คน

ป้า Ding ที่กำลังวางซุปเกอตะลงบนโต๊ะ สายตาก็เหลือยไปเห็นอันหรันที่กำลังพยุงตัวเองลงมาชั้นล่างพอดี เธอจึงรีบเดินเข้าไปช่วยพยุงเธอ ก่อนจะเอ่ยขึ้น:“คุณหนูไม่สบาย ก็ต้องพักผ่อนมากๆนะคะ”

อันหรันหัวเราะแล้วพูดขึ้น:“ซุปเกอตะของป้า Ding หอมจังเลยค่ะ แต่วันนี้หนูมีนัดกับเพื่อน ขอชิมสักสองสามคำพอนะคะ เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอกแล้ว”

ป้า Ding ลอบสังเกตอาการของอันหรัน เธอคิดว่าสภาพตอนนี้ของอันหรันนั้นยังไม่ควรที่จะออกไปข้างนอก

ป้า Ding จึงเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า : “เมื่อเช้าตอนที่เทียนหลันจะออกไป เขาบอกกับป้าว่าให้คุณหนูอยู่บ้านพักผ่อนเยอะๆ”

แน่นอนว่าที่จริงแล้วฮั่วเทียนหลันออกคำสั่งไม่ให้อันหรันออกไปไหน แต่ป้า Ding แค่พูดให้ดูอ่อนลงเท่านั้น

อันหรันพยักหน้ารับ แต่หลังจากทานข้าวเสร็จเธอก็รู้สึกมีแรงขึ้น จึงคิดจะออกไปข้างนอกต่อ

แต่เพื่อไม่ให้ป่วยขึ้นอีกรอบ เธอจึงใช้เสื้อกันหนาวขนเป็ดห่อหุ้มตัวของเธอ แต่ก็ยังรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง จึงหยิบหมวกถักสไตล์แบ๊วๆใส่บนศีรษะด้วย

เหลียวซิรงส่งโลเคชั่นมาให้อันหรันเรียบร้อยแล้วรอแค่เธอออกไปหา

เธอเดินออกจากบ้าน ก่อนจะเรียกรถไปยังป่ายลี่พลาซ่า

เธอมองเห็นเหลียวซิรงยืนรออยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องโถงชั้นหนึ่ง

เหลียวซิรงวันนี้แต่งตัวทันสมัยมาก ชุดหนังรัดรูปสีดำทั้งตัว พร้อมทั้งแว่นตากันแดดอันใหญ่ เหมือนกับ Motor Girl ที่อยู่ในหนังเป้ะเลย

เมื่อเธอเห็นอันหรันห่อตัวเองมาราวกับบะจ่าง เหลียวซิรงอ้าปากค้างอย่างโอเวอร์แอคติ้ง ก่อนจะเดินไปข้างหน้าแล้วตบอันหรันเบาๆ :“หรันหรัน ถ้าเธอใส่เพิ่มเข้าไปอีกชั้นคือกลายเป็นแฮมเบอร์เกอร์แล้วนะ!”

พูดไป เธอก็ทำท่าน้ำลายสอราวกับอยากกินแฮมเบอร์เกอร์ไปด้วย

อันหรันเหลือบมองเหลียวซิรงอย่างเอือมระอา ก่อนจะหันหน้าไปยิ้มทักทายหลีเฉียนที่อยู่ด้านข้าง

พอเหลียวซิรงเอ่ยแซวเสร็จ ก็ถามอันหรันว่าวันนี้อยากเดินซื้ออะไรไหม

ร่างกายของอันหรันยังไม่หายดี เธอเพิ่งเดินได้ไม่นานนักเหงื่อก็เริ่มซึมออกมาเต็มหัว

เหลียวซิรงยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้า เนื่องจากเธอรอเพื่อนมาทานด้ยกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเพื่อทานอะไรง่ายๆ

เมื่อทานอาหารเรียบร้อยแล้ว บังเอิญช่วงนี้มีหนังแนวไซไฟเรื่องหนึ่งเข้าโรงพอดี และอีกครึ่งชั่วโมงจะเริ่มฉาย

หลีเฉียนจึงเสนอความคิดเห็นขึ้น : "งั้นเราไปดูหนังกันสักเรื่องเถอะ!"

เหลียวซิรงเป็นคนไม่ค่อยสังเกต แต่หลีเฉียนนั้นกลับเป็นคนละเอียดรอบคอบมาก

เธอสังเกตเห็นว่าหน้าของอันหรันเริ่มซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าร่างกายของอันหรันยังคงอ่อนแออยู่

พวกเขาทั้งสามคนเลือกห้อง VIP เพื่อนั่งดูหนังด้วยกัน

หลีเฉียนฉวยโอกาสตอนที่เหลียวซิรงไปห้องน้ำ เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา :“หรันหรัน เธอไม่สบายหรือเปล่า ”

อันหรันพยักหน้าตอบ ในโรงหนังอากาศร้อนมาก แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะถอดเสื้อกันหนาวขนเป็ดออก กลัวว่าตัวเองจะเป็นไข้ขึ้นมาอีก

"เป็นยังไงบ้าง" หลีเฉียนยื่นมือมาแตะหน้าผากของอันหรันเพื่อวัดอุณหภูมิ แต่ก็พบว่าไม่ได้ร้อนนัก

ทันใดนั้นร่างกายของอันหรันก็ตอบสนองขึ้นมา เธอเอ่ยตอบแผ่วเบา :"พี่เฉียน เมื่อวานฉันมีไข้ แต่ว่าตอนนี้ไข้ลดลงแล้วล่ะ"

“ไม่สบายทำไมยังออกมาข้างนอกอีก ทำไมถึงไม่พักผ่อนอยู่ที่บ้านล่ะ”

“แต่ฉันได้นัดกับเหลียวซิรงไว้แล้ว!”

ประโยคที่อันหรันเอ่ยขึ้นมา ทำให้หลีเฉียนถึงกับพูดไม่ออก เพราะว่าที่เธอพูดมามันก็ถูก

สักพักเหลียวซิรงก็กลับมาพอดี ในมือถือขนมมาถุงใหญ่:“นินทาอะไรฉันอีกพวกเธอสองคน”

อันหรันยิ้มเล็กน้อย ท่ามกลางความมืดเหลียวซิรงก็คงไม่เห็นสีหน้าของเธออยู่แล้ว

สามคนนั่งบนที่นั่งที่มีอาหารและเครื่องดื่มเตรียมพร้อมอยู่เต็มโต๊ะ จากนั้นจึงเริ่มดูหนังที่กำลังจะฉายขึ้น

ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานสูงสุดของหนังแนวไซไฟภายในประเทศ การถ่ายทำฉากต่างๆก็ออกมาดีมากเช่นกัน

นักแสดงนำฝ่ายหญิงของเรื่องนี้คือซุนเฟยเฟย เป็นดาราหญิงหน้าใหม่ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหลียวซิรงอีกด้วย

ส่วนนักแสดงนำฝ่ายชายคือจางเฉิน เขาเป็นลูกเศรษฐี บริษัทที่ซุนเฟยเฟยเซ็นอยู่ก็คือบริษัทที่บ้านจางเฉินเปิดนั่นแหละ

ในหนังมีหุ่นยนต์อยู่ตัวหนึ่ง รับบทสร้างความตลกโดยเฉพาะ

ดูไปได้พักหนึ่ง เหลียวซิรงก็ชักสีหน้าขึ้นมา :"สมัยนี้จะเอาคนนู้นคนนี้มาถ่ายก็ถ่ายได้ทั้งนั้น แต่ฝีมือการแสดงของจางเฉินนั้น ถ้าไม่ได้พึ่งพ่อตัวเอง แสดงคู่กับซุนเฟยเฟยยังไงก็ไม่เหมาะ"

หลีเฉียนกระแอมขึ้น :“ซิรง ระวังคำพูดหน่อยหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”

อันหรันเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ซิรงพูด เพราะเป็นคนที่ทำงานด้านศิลปะการแสดงเช่นเดียวกัน แสดงดีหรือไม่ดี แสดงถึงหรือไม่ถึงนั้น มองแว๊บเดียวก็ดูออกแล้ว

ตอนที่จางเฉินพูดความในใจ เขาต้องการที่จะแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าท่าทาง

แต่เขาคงจะคิดไปเองว่าตัวเองทำได้ดี หากแต่ความจริงแล้วอารมณ์บนใบหน้าที่เขาแสดงออกมามันแข็งทื่อไปหมด

และยังมีอีกหลายฉากที่ซุนเฟยเฟยทำหน้าอย่างออกอาการผิดปกติไม่เป็นธรรมชาติ

เหลียวซิรงทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ :“ความสามารถในการแสดงแย่แบบนี้ แต่ยังสามารถเข้ามาฉายในโรงได้เช่นนี้ ก็คงเพราะบทค่อนข้างดีและมีเพื่อนนักแสดงที่ดี ฉันจำได้ว่าในอินเตอร์เน็ตคนให้คะแนนตั้ง 9 คะแนนแหน่ะ ทำได้ยังไงกัน”

“ใช้เงินซื้อตำแหน่งกันชัดๆ!” อันหรันอุทานออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

คำพูดประโยคนี้ของเธอ ทำให้เหลียวซิรงเห็นด้วยทันที เขาชำเลืองตามองอันหรัน:“ที่เธอพูดคือประเด็นหลักเลย”

ถึงแม้อันหรันไม่เคยถ่ายละคร แต่ก็พอจะมองออกบ้าง

แต่เหลียวซิรงยังไม่ทันไรก็นั่งไม่ติดแล้ว ระหว่างฉายหนังเธอลุกออกไปข้างนอกสองรอบ รอบสุดท้ายออกไปซื้อเต้าหู้เหม็นแล้วกลับเข้ามา

หลีเฉียนทนไม่ไหวกับกลิ่นนั้น เธอยกมือขึ้นปิดจมูก แล้ววิ่งออกไปไกลๆทันที

ถึงแม้อันหรันจะชอบเต้าหู้เหม็น แต่เธอคิดว่าการเอาเข้ามากินในห้อง VIP เช่นนี้มันก็เกินไปเช่นเดียวกัน

เธอลุกขึ้นไปเปิดพัดลมระบายอากาศ แล้วกลับมานั่งกินกับเหลียวซิรงสองสามชิ้น

พอกินเต้าหู้เหม็น ก็ทำให้เธอนึกถึงอันเฮาขึ้นมา

ตอนที่อันเฮายังเด็ก เขารู้สึกสนใจแทบทุกอย่าง

มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนเลิกเรียน อันหรันจูงมือเขาเดินกลับบ้าน

ปรากฏว่าข้างทางมีรถคันเล็กจอดขายเต้าหู้เหม็นอยู่ อันเฮาให้ตายยังไงก็ไม่ยอมกลับบ้าน ต้องการจะชิมเต้าหู้เหม็นนี่ให้ได้

แต่อันหรันทนกลิ่นของมันไม่ไหวจึงปฏิเสธไป

อันเฮาจึงทำได้แค่เชื่อฟังคำพูดแกมบังคคับของอันหรัน และกลับบ้านไปพร้อมกับอันหรันในที่สุด

แต่วันถัดๆมา ทุกครั้งที่เดินผ่านอันเฮาก็จะมองไปที่ร้านเต้าหู้เหม็นทุกครั้ง

ทำทางน่าสงสารของเขา ทำให้อันหรันเห็นแล้วก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้

สุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงทนกับกลิ่นเหม็นของมันแล้วซื้อให้อันเฮาหนึ่งชุด

บรืเวณโรงเรียนมีแต่ของราคาถูก ใช้เงินเพียงแค่ 5 หยวนก็สามารถซื้อของกินได้ตั้ง 1 ถ้วย

อันเฮากินไปหนึ่งคำ ก่อนจะบอกกับอันหรันด้วยท่าทีมีความสุขว่าสิ่งนี้มันอร่อยมากๆ จากนั้นเขาจึงแบ่งให้อันหรันชิมสองสามคำ

อันหรันกินไปได้ชิ้นนึง แล้วก็ตกหลุมรักอาหารชนิดนี้ขึ้นมาในทันที

น่าเสียดายที่อาหารชนิดนี้ไม่สามารถขึ้นเชลขายได้เพราะกลิ่นที่ค่อนข้างรุนแรงของมัน

อันหรันกินเข้าไปคำสุดท้าย ก่อนจะนึกถึงครั้งล่าสุดที่ได้กินมัน เมื่อไหร่กันนะ เมื่อ 5 ปีที่แล้วหรือว่าเมื่อ 7 ปีที่แล้ว

ตั้งแต่อันเฮาไม่อยู่ เธอก็ไม่ได้แตะมันอีกเลย

เห็นของสิ่งหนึ่งแล้วทำให้นึกถึงคนที่จากไป มันเป็นแบบนี้เองสินะ

หนังเรื่องนี้มีความยาวสองชั่วโมงครึ่ง พอหนังฉายไปได้สองชั่วโมง เหลียงซิรงที่ออกไปข้างนอกพักใหญ่ก็กลับเข้ามาพร้อมกับสีหน้าแปลกๆ

เธอนั่งลงและมองอันหรันเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่ก็ไม่พูด จนอันหรันสังเกตเห็นว่าซิรงผิดปกติไป จึงเอ่ยขึ้น :“หน้าฉันมีดอกไม้เหรอ”

เหลียวซิรงส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น :“หรันหรัน เมื่อกี้ตอนที่ฉันออกไป ฉันเจอคนรู้จักคู่หนึ่ง ”

คู่หนึ่ง? คนรู้จัก?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง