โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง นิยาย บท 331

หลังจากพูดจบ โทรศัพท์มือถือก็ถูกกดวางสาย

หยางหลิงรุ่ยมองดูโทรศัพท์มือถือด้วยความงงงัน ผู้ชายคนนี้ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย!

เขาไม่รู้หรือไงว่าควรให้ผู้หญิงเป็นคนวางสายก่อน

เนื่องจากมีสายโทรเข้ามาเช่นนี้ ทำให้หยางหลิงรุ่ยเองก็หายง่วงไปด้วย

เธอลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าก่อนจะลงไปที่ห้องอาหารชั้นล่าง

สายโทรเข้าของฮั่วเทียนหลันนั้นช่างประจวบเหมาะ ปลุกหยางหลิงรุ่ยให้ตื่นขึ้นมาในเวลาทานข้าวเช้าพอดิบพอดี

เธออ้าปากหาวก่อนจะเอ่ยอรุณสวัสดิ์กับตงเหยียนและนั่งลงที่เก้าอี้

ตงเหยียนกำลังทานอาหารเช้ากับชิงหรง เธอยิ้มและเหลือบมองไปที่หยางหลิงรุ่ยเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ : "หลิงรุ่ย ทำไมแผลที่คอของเธอถึงอักเสบล่ะ"

หยางหลิงรุ่ยสวมใส่เสื้อผ้าสบาย ๆ เธอรูดซิปของเสื้อลงต่ำจนเกือบถึงหน้าอก ทำให้เห็นบาดแผลที่ถูกรัดคอก่อนหน้านั้นพอดี

เธอชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเอื้อมมือไปแตะที่คอของตนเองอย่างลืมตัว

ตอนที่ยังไม่แตะก็ไม่รู้สึกอะไร พอสัมผัสเข้าให้เท่านั้นแหละเธอก็สะดุ้งขึ้นด้วยความเจ็บปวดทันที

"อ่า เจ็บจัง... "พอรู้ตัวว่าตนเองพลั้งปากไป เธอจึงรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็วและพูดขึ้น : "ไม่เป็นไรค่ะ พี่สะใภ้ คงเป็นตอนที่ฉันเช็ดตัวแล้วน้ำมันโดนแผลพอดี อีกสักสองสามวันก็คงหายดีแล้วล่ะ"

ตงเหยียนเคยผ่านมาก่อน แน่นอนว่าเธอเข้าใจถึงความอันตรายจากการอักเสบของบาดแผลดี เธอยื่นหน้าไปดูใกล้ ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง : "นี่ไม่ใช่แผลเล็ก ๆ นะ ถ้าหากเป็นหนองข้างในมันจะกลายเป็นแผลเป็นได้"

หยางหลิงรุ่ยหยิบขนมปังขึ้นมากัด เธอพยักหน้ารับอย่างไม่คิดใส่ใจนัก

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เธอและตงหยานก็ไปส่งชิงหรงที่โรงเรียนด้วยกัน

ตอนขากลับ ตงเหยียนสั่งให้คนขับรถเปลี่ยนเส้นทางไปยังโรงพยาบาลกลาง

"ไปไหน ไปทำอะไรคะ" หยางหลิงรุ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

"ไปจัดการกับแผลที่คอของเธอสักหน่อย ถึงแม้เธอจะไม่แคร์แต่ฉันแคร์" ตงเหยียนพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ

หยางหลิงรุ่ยยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสบาดแผลอีกครั้ง แต่กลับถูกฟาดเข้าที่มือหนึ่งที

"อย่าสัมผัส เดี๋ยวแผลติดเชื้อต่อ"

"จะเป็นไปได้ยังไง แผลมันหายเป็นปกติแล้ว แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเอง" หยางหลิงรุ่ยพูดขึ้นอย่างเฉยเมย แต่ก็ยังหยิบกระจกขึ้นมาจากกระเป๋าเพื่อส่องดูบาดแผล

พอมองแบบนี้ก็รู้สึกว่าเหมือนแผลจะแดงและบวมขึ้น ดูน่ากลัวมากเลยจริง ๆ

ช่วงนี้เธอเอาแต่กังวลเกี่ยวกับจางรันแล้วก็ฮั่วเทียนหลัน จึงทำให้ไม่ได้สนใจร่างกายของตนเองเลยสักนิด

"บาดแผลเล็ก ๆ ถ้าติดเชื้อจนเป็นหนองก็อาจจะถึงชีวิตได้เช่นกัน เธอนี่ช่างประมาทเสียจริง คุณหมอเตือนว่าอย่าให้โดนน้ำแล้วแน่นอน แต่เธอไม่ยอมฟัง" ตงเหยียนตำหนิหยางหลิงรุ่ยด้วยความเป็นห่วง เพราะเธอมองว่าหยางหลิงรุ่ยเป็นเหมือนน้องสาวแท้ ๆ ของตนเอง

"ฉันเองก็ใส่ใจมากเหมือนกันนะ แต่ว่านานหลายวันขนาดนี้ ถ้าหากไม่ได้เช็ดตัวบ้างก็คงจะเหม็นเน่ามากแน่!"

ทั้งสองคนไปที่โรงพยาบาล คุณหมอได้ทำการรักษาบาดแผลอีกครั้งก่อนจะกำชับเรื่องของยาและสั่งห้ามไม่ให้แผลโดนน้ำอีกเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจเกิดรอยแผลเป็นหรือแม้กระทั่งอาจติดเชื้อได้

หลังจากที่ตงเหยียนพาหยางหลิงรุ่ยกลับมาถึงบ้าน เธอก็กักบริเวณอีกฝ่ายทันทีเพื่อที่จะได้นอนพักผ่อนอยู่ที่บ้านอย่างเต็มที่

คฤหาสน์ฮัว ฮั่วเทียนหลันที่เพิ่งลงจากเครื่องออกกำลังกาย

พลันนึกถึงตอนที่คุยกับผู้หญิงคนนั้นเมื่อเช้าขึ้นมา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มที่มุมปาก

ทันใดนั้นโจวหยวนก็เดินเข้ามาหาเขาก่อนจะเอ่ย : "ท่านประธานฮั่ว ถึงเวลาไปล้างแผลอักเสบแล้วครับ"

"อืม" ฮั่วเทียนหลันเดินเข้าไปในห้องพยาบาล ไม่นานก็เดินออกมาพร้อมคิ้วที่ขมวดกันแน่น

เนื่องจากการบริจาคเลือดครั้งที่แล้ว ทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายของเขาลดลงเป็นอย่างมาก

แผลที่ติดเชื้ออยู่ก่อนแล้วอีกนิดเกือบจะเกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ โชคดีที่แพทย์รักษาได้ทันเวลาก่อน

เขานั่งลงที่โต๊ะทำงาน ด้านหน้าคอมพิวเตอร์มีเอกสารกองหนึ่งวางเอาไว้ ส่วนหน้าจอของคอมพิวเตอร์นั้นกำลังแสดงข้อมูลล่าสุดของโครงการต่าง ๆ ในบริษัท

อันที่จริงการที่เขาป่วยเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องจัดการกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ด้วยตนเองก็ได้ เพราะโจวหยวนและฮัวเส้าซู่สามารถรับมือกับมันได้สบายอยู่แล้ว

แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้สภาพแวดล้อมระหว่างประเทศได้มีการเปลี่ยนแปลงไป และฮั่วเทียนหลันกังวลมากว่าบริษัทจะตกอยู่ในปัญหา

เหตุการณ์คาร์บอมบ์ครั้งก่อนผู้ก่อการร้ายได้ประกาศมอบตัวยอมรับผิดแล้ว

มันคือองค์กรก่อการร้ายของสงครามทางศาสนาที่ปากีสถาน และเป็นพันธมิตรใต้ดินของตระกูลหยางที่เขตพื้นที่อาหรับ

การโจมตีในครั้งนี้ เพื่อร้องขอให้รัฐบาลออสเตรเลียปล่อยตัวผู้ประท้วงหัวรุนแรงที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้สิบกว่าคนนั้น

แน่นอนว่ารัฐบาลออสเตรเลียไม่ยอมก้มหัวให้กับการถูกคุกคามดังกล่าว หลังจากนั้นมีคนตั้งใจปล่อยหลักฐานออกมาว่าตระกูลหยางได้สนับสนุนสงครามทางศาสนา จึงทำให้ตระกูลหยางตกเป็นที่วิพากย์วิจารณ์ของผู้คนในสังคมอย่างโหดร้ายและรุนแรง

Felton International Hotel เป็นโรงแรมระดับ 6 ดาวที่ดีที่สุดในเมือง Orton

คนที่พักอยู่ในนั้นต่างก็เป็นพวกไฮโซ ผู้ประกอบการและนักการเมืองแทบจะทั้งหมด

เรื่องสงครามทางศาสนานั้นพวกเขาอาจจะไม่สามารถตอบโต้อะไรได้

แต่สำหรับตระกูลหยาง ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถปราบปรามได้

ในเมื่อสงครามทางศาสนาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหยาง และสิ่งที่พวกเขาก่อขึ้นมาทั้งหมดในตอนนี้ตระกูลหยางก็จะต้องรับผิดชอบไปด้วย

การวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนล้วนแล้วแต่เป็นการกดดันตระกูลหยาง ทำให้หุ้นของ Aneng Group ลดลงถึงหนึ่งในสามอย่างรวดเร็ว

ตระกูลฮัวที่มีอำนาจสูงสุดก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน

แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ความสัมพันธ์ระหว่างฮั่วทียนหลันและหยางหลิงรุ่ยในตอนนี้ถึงแม้จะไม่ได้สนิทกันอย่างแต่ก่อนแล้ว แต่ทั้งสองครอบครัวก็ถือได้ว่ารู้จักกันดี

ฮั่วเทียนหลันรู้สึกเจ็บที่หน้าอกจนขมวดคิ้ว เขากำลังจะเอื้อมมือไปกด แต่ก็นึกขึ้นมาได้ก่อนว่าคุณหมอสั่งห้ามไม่ให้แตะมันเด็ดขาด

เขาจึงทำได้เพียงปล่อยมันไปอย่างนั้น จนสุดท้ายรู้สึกทนไม่ไหวจริง ๆ จึงหยิบกล่องยาแก้ปวดออกมาจากลิ้นชักและทานไปสองเม็ดถึงได้รู้สึกโอเคขึ้นมา

หยางหลิงรุ่ยพักผ่อนอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งวัน หลังจากได้รับการรักษาจากคุณหมอในครั้งนี้ เธอก็รู้สึกปวดที่แผลขึ้นมาเป็นครั้งคราว

เพื่อป้องกันไม่ให้เธอสัมผัสกับน้ำ ตงเหยียนได้จัดหาพี่เลี้ยงส่วนตัวสำหรับดูแลชีวิตประจำวันของเธอเป็นพิเศษ

ในตอนเช้า เธอหยิบกล่องอาหารที่อุ่นเสร็จเรียบร้อยแล้วขึ้นมารถก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล

บริเวณทางเดินของโรงพยาบาลเต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ และสภาพแวดล้อมที่ดูมืดมนถนัดตานั้นทำให้ทุกครั้งที่มาที่นี่หยางหลิงรุ่ยจะต้องฝืนอดทนเป็นอย่างมาก

จางรันอาการดีขึ้นมากแล้ว หยางหลิงรุ่ยวางกล่องเก็บความร้อนลงบนโต๊ะก่อนจะเปิดและหยิบอาหารเช้าทุกชนิดออกมา

ในฐานะคนจีน จางรันไม่ได้พิถีพิถันกับอาหารจีนหรืออาหารตะวันตกมากนัก แต่รสปากของเขาตั้งแต่วัยเด็กนั้นโน้มไปทางฝั่งอาหารจีนมากกว่า

ดังนั้นอาหารหลักสามมื้อนี้หยางหลิงรุ่ยจึงทำเป็นอาหารจีนให้เขาทานทั้งหมด

เนื่องจากจางรันฟื้นตัวได้เร็วขึ้น อาหารที่ทานจึงไม่จำเป็นต้องมีรสชาติอ่อนและง่ายต่อการดูดซึมเป็นหลัก

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ หยางหลิงรุ่ยปล่อยให้จางรันนอนพักผ่อน ส่วนเธออ่านหนังสือให้เขาฟัง

จางรันมีความสนใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก แต่หยางหลิงรุ่ยนั้นกลับไม่ชอบเอาเสียเลย แต่เธอก็ยังอิงตามความชอบของเขาในการเลือกหนังสือขึ้นมาอ่าน

หลังจากทานอาหารมื้อเที่ยงแล้ว เธอก็วางหนังสือลงก่อนจะพาจางรันไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังของโรงพยาบาล

แดดตอนเที่ยงนั้นร้อนแผดเผาเป็นอย่างมาก แต่พออยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ในสวนแล้วกลับทำให้รู้สึกกำลังเย็นสบาย

เมื่อทั้งสองเดินไปถึงหน้าศาลาก็มองเห็นชายชราคนหนึ่งกำลังนั่งวาดรูปต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลตรงหน้าด้วยท่าทีจริงจัง

เขาสเก็ตช์ภาพด้วยทักษะธรรมดา พอถู ๆ ไถ ๆ ออกมาจนเป็นรูปทรงได้

จางรันที่ยืนมองอยู่ด้านข้างได้สักพัก ก็เดินเข้าไปสอนชายชราเกี่ยวกับเทคนิคการวาดภาพ

หยางหลิงรุ่ยเป็นคนทำอาชีพเกี่ยวกับงานศิลปะเช่นกัน ในตอนแรกเธอก็มองดูด้วยความเพลิดเพลิน แต่หลังจากดูไปสักพักเธอก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมาเล็กน้อย

เธอนั่งลงบนม้านั่งหินอ่อนในศาลาและมองดูพุ่มดอกไม้ที่กำลังบานอยู่ไม่ไกล

สายลมพัดผ่านเข้ามา ทำให้ผมดำสลวยของเธอปลิวไปตามลม

จางรันที่หันมามองเธอพอดี เมื่อเห็นภาพนั้นก็ไม่สามารถละสายตาไปไหนได้

"คุณปู่ครับ ผมขอใช้กระดานวาดรูปหน่อยได้ไหม"

"เอาสิ"

จางรันขยับกระดานวาดภาพให้อยู่ในตำแหน่งพอดีกับตัว จากนั้นก็นึกถึงท่าทางของหยางหลิงรุ่ยที่ราวกับเป็นนางฟ้าลงมาจากสวรรค์เมื่อกี้นี้ ก่อนจะเริ่มลงมือวาด

หยางหลิงรุ่ยตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง เธอนึกถึงคำพูดของฮั่วเทียนหลันขึ้นมา ที่เขาบอกว่าอยากให้เธอไปเยี่ยมเขาบ่อยๆ

แต่เธอจะไปในฐานะอะไรล่ะ เพื่อนหรือคนใกล้ชิดกว่านั้น

เธอคิดจนปวดที่สมอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและมองเห็นจางรันที่มองเธออยู่ก่อนแล้ว พร้อมกับพู่กันในมือของเขาที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

เขากำลังสเก็ตช์ภาพเหรอ

หยางหลิงรุ่ยลุกขึ้นและเดินไปหาจางรัน ก่อนจะพบว่าเขากำลังวาดภาพตนเองอยู่

และยังเป็นตอนที่สายลมพัดเข้ามาจนทำให้ผมของเธอยุ่งเหยิง การร่างเส้นที่เรียบง่ายของเขานั้นกลับดูสวยงามแปลกตามาก ๆ

เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าจางรันมีพรสวรรค์ในการวาดภาพมากขนาดนี้

“ สวยมากเลย!” หยางหลิงรุ่ยเอ่ยขึ้น

“ชอบไหม ถ้าอย่างนั้นฉันให้!” จางรันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แต่มือยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด จนสุดท้ายก็วาดเสร็จสมบูรณ์

"โอเคเลย อารันดีที่สุด!" หยางหลิงรุ่ยเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุขและโยนความคิดวิตกกังวลเมื่อกี้ออกไปจากหัวทันที

พอถึงเวลาสี่โมงเย็นหยางเทียนก็ขับรถมารับหยางหลิงรุ่ย

"คุณผู้หญิงจะกลับบ้านเลยไหมครับ"

"อืม" หยางหลิงรุ่ยตอบรับ ก่อนจะต่อสู้กับความคิดในหัวสักพักแล้วเอ่ยขึ้นใหม่อีกรอบ : "ยังดีกว่า ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อน!"

หยางหลิงรุ่ยซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ในซูเปอร์มาร์เก็ตมามากมาย

ถ้าไม่ใช่เพราะหยางเทียนบอกว่าด้านหลังรถจะเก็บของไม่พอแล้ว เธอก็คงจะซื้อเพิ่มไปอีก

เธอรู้สึกว่านี่เป็นวิธีที่จะอธิบายได้ว่าที่เธอไปเยี่ยมฮั่วเทียนหลันในครั้งนี้ก็เพราะต้องการนำอาหารเสริมบำรุงไปให้เขาเพียงเท่านั้น

เพราะถึงอย่างไรความร่วมมือระหว่างตระกูลหยางและตระกูลฮัวเรื่องของโครงการเมื่อไม่นานมานี้ ก็ถือได้ว่าเป็นที่น่าพอใจอยู่มาก

หลังจากขึ้นมาบนรถ เธอก็เอ่ยขึ้น : "ไปที่คฤหาสน์ฮัว"

แม้ว่าหยางเทียนจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็ขับรถไปที่นั่นตามคำสั่ง

ตระกูลฮั่วไม่ได้อาศัยอยู่ในย่านใจกลางเมือง Orton แต่มีคฤหาสน์ที่ครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยเอเคอร์ตั้งอยู่ตรงบริเวณด้านข้างสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง

เดิมทีที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของฟาเรนไฮต์ในออสเตรเลีย แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่พักผ่อนฟื้นฟูร่างกายของฮั่วเทียนหลันแทน

มีเส้นทางเดียวเท่านั้นที่สามารถมาถึงที่นี่ และระหว่างทางยังต้องผ่านด่านทั้งหมดแปดด่านอีกด้วย

ถ้าหากพูดตามจริง สิ่งนี้ถือว่าผิดกฎหมายของออสเตรเลีย

เนื่องจากถนนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในเครือของฟาเรนไฮต์

แต่ก็อย่างว่า ฟาเรนไฮต์นั้นมีพลังและอำนาจมาก การลองทดสอบหยั่งเชิงกฎหมายของพื้นที่ชายแดนเช่นนี้ก็ไม่มีใครกล้าที่จะเอาผิด

พอรถเคลื่อนตัวเข้ามาจอดบริเวณด้านหน้าคฤหาสน์ฮัว บอดี้การ์ดก็เดินเข้ามาหาทันที

หยางหลิงรุ่ยลดกระจกรถลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น : "คุณฮั่วอยู่หรือเปล่าคะ"

เมื่อบอดี้การ์ดมองเห็นรถหรูมูลค่าหลายสิบล้านคันนี้ จึงเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตร : "คุณผู้หญิงได้นัดไว้ล่วงหน้าหรือยังครับ"

หยางหลิงรุ่ยชะงักไปชั่วขณะ มาที่บ้านของฮั่วเทียนหลันยังจำเป็นต้องนัดไว้ล่วงหน้าอีกหรือ

ทันใดนั้นก็มีบอดี้การ์ดที่เคยปฏิบัติหน้าที่ตอนที่อยู่โรงพยาบาลเดินออกมาพอดี หลังจากมองเห็นหยางหลิงรุ่ย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที เขาก้าวไปข้างหน้าและพูดขึ้น : "คุณหยางเองเหรอครับ คุณฮั่วอยู่พอดี เชิญเข้ามาข้างในก่อนครับ!"

เขาเป็นหัวหน้าทีมของบอดี้การ์ด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะทำการละเมิดกฎ แต่บอดี้การ์ดคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมา

บอดี้การ์ดหนึ่งคนกำลังนำทางหยางหลิงรุ่ยเข้าไปในคฤหาสน์ฮัว

เมื่อหัวหน้าบอดี้การ์ดมองเห็นเธอเดินห่างออกไปแล้ว จึงยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก

“พี่หลิน เธอไม่ได้นัดเอาไว้ล่วงหน้าก่อนนะ ถ้าหากรบกวนการพักผ่อนของท่านประธานฮั่วจะทำอย่างไร”

หัวหน้ากลุ่มที่ถูกเรียกว่าพี่หลินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัวขึ้นมา

เจ้าเด็กในการปกครองของเขาคนนี้ทำไมถึงได้มองไม่ออกบ้างเลย

“เจ้าเด็กโง่เอ้ย เมื่อกี้นั่นคือภรรยาของท่านประธานของเรา!”

"ห๊ะ ภรรยาเหรอ ไม่ใช่ตายไปนานแล้วเหรอ"

พี่หลินรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ เขาโบกมือขึ้นก่อนจะไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ

บอดี้การ์ดคนนี้จำได้ว่าหลังจากที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง ก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งบอกกับเขาเป็นนัยน์ว่าภรรยาของท่านประธานเสียชีวิตไปแล้วเมื่อสองปีก่อน

หลงเหลือเพียงลูกสาวคนหนึ่งที่ท่านประธานรักและหลงมาก จึงไม่ได้แต่งงานใหม่อีก

เขารู้สึกข้องใจจึงเข้าอินเตอร์เน็ตของบริษัทและค้นหาข่าวเมื่อสองปีก่อน

เมื่อเห็นภาพของภรรยาของประธานในข่าว เขาก็ตกตะลึงในทันที

มันจะเป็นไปได้ยังไง! คนตายสามารถฟื้นคืนมาได้งั้นเหรอ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง