ฮั่วเทียนหลันเอ่ยเสียงทุ้ม : "ผมพูดชัดเจนแล้วนะ ผมไม่สนว่าคุณจะเป็นอันหรันหรือว่าหยางหลิงรุ่ย แต่คุณต้องเป็นของผมเพียงคนเดียวเท่านั้น!"
หยางหลิงรุ่ยมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกขัน ก่อนจะกลับไปนั่งบนรถ : "หยางเทียน พวกเราไปกันเถอะ!"
หยางเทียนปิดประตูลงแล้วกลับไปนั่งตำแหน่งคนขับ จากนั้นขับรถออกไปทันที
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนก้าวออกมาข้างหน้าท่ามกลางความมืด
"ท่านประธานฮั่วครับ หลังจากที่คุณ Auch กลับไป เธอได้ส่งคนไปสืบข้อมูลของคุณหญิงฮั่วครับ"
ฮั่วเทียนหลันสายตาเยือกเย็น เขาเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม : "ถ้าปกป้องหยางหลิงรุ่ยไม่ได้ พวกนายก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่!"
หยางหลิงรุ่ยกลับบ้านด้วยความโมโห ตอนอยู่บนรถเธอพูดสาบานกับตัวเองขึ้นมาในใจ ในอนาคตหากเธอยังติดต่อกับฮั่วเทียนหลันอยู่ ขอให้เธอเป็นหมาเลย
เพื่อแสดงบทบาทชีวิตในตอนนี้ เธอได้ใช้เวลาอยู่กับจางรันมาตลอดทั้งเดือน
เนื่องจากความขัดข้องจนทำให้เกิดการล่าช้า โครงการของประเทศจีนจึงถูกลูกน้องเข้ารับช่วงต่อเรียบร้อยแล้ว จางรันจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางไปดูงานนอกสถานที่ด้วยตัวเองเช่นกัน
หลังจากที่จางรันออกจากโรงพยาบาล เธอก็ไปหมกตัวอยู่ที่บริษัทของจางรัน
เธอไม่ได้สังเกตตัวเองเลยด้วยซ้ำว่าการที่เธอทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการให้ฮั่วเทียนหลันคับแค้นใจเท่านั้น
บอกให้เขารู้ว่าเธอจะไม่มีวันถูกเขาครอบงำโดยเด็ดขาด!
จางรันสังเกตได้ถึงความผิดปกติของเธอ แต่ก็เลือกที่จะไม่เอ่ยถามอะไรขึ้นมา เนื่องจากการที่มีเธอคอยอยู่เคียงข้างเสมอเช่นนี้ มันทำให้เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
ตอนนี้จางรันกำลังยุ่งกับงานที่ห้องทำงานของตนเอง ส่วนหยางหลิงรุ่ยนั้นอยู่ในห้องเลขาด้านข้าง
แม้ว่าเธอจะพูดเป็นประจำว่าอยากช่วยงาน และทุกครั้งเธอก็ทำออกมาได้ดีเสมอ
แต่เลขาก็ไม่กล้าที่จะมอบหมายงานให้เธอทำ มีเพียงงานง่าย ๆ อย่างเช่นส่งเอกสารต่าง ๆ ให้จางรันเท่านั้นถึงมอบหมายให้เธอทำเป็นครั้งคราว
ตอนนี้หยางหลิงรุ่ยกำลังนั่งดื่มกาแฟ กลิ่นหอมเข้มข้นของมันทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นมา
บนโต๊ะมีหนังสือเล่มหนึ่งถูกเปิดและวางอยู่ เป็นนวนิยายสำหรับเยาวชนของประเทศจีนเมื่อสองปีก่อน
ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าพล็อตเรื่องมันช่างคุ้นเคยนัก ราวกับเธอเคยอ่านมาก่อนหน้านั้นและยังรู้สึกเหมือนอ่านมาแล้วหลายรอบอีกด้วย
เธอเปิดอ่านทีละหน้าไปเรื่อยๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งยังสงสัยว่าตัวเองนั้นมีความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้าด้วยหรือเปล่า
เพราะเนื้อหาของนิยายเรื่องนี้ทั้งหมดเป็นอย่างที่เธอคิดไว้เป๊ะ ๆ เลย
หลังจากอ่านจบหยางหลิงรุ่ยก็เก็บมันลงที่ลิ้นชักใต้โต๊ะชั้นที่หนึ่ง
หนังสือที่ถูกเก็บใส่ชั้นที่หนึ่งนั้น เป็นหนังสือที่เธอมักจะหยิบมันออกมาอ่านซ้ำอยู่บ่อย ๆ
พักนี้เธอรู้สึกว่าในหัวสมองมีความทรงจำแปลก ๆ มากมายโผล่ขึ้นมา แต่เธอกลับไม่กล้าที่จะพยายามนึกให้ละเอียด
เพราะทุกครั้งที่เธอพยายามนึกถึงเรื่องราวในอดีต คลื่นความเจ็บปวดในสมองของเธอก็พลันสาดซัดเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ในตอนเที่ยงเธอไปทานอาหารกับเพื่อนร่วมงานข้างนอก พอตอนกลับเธอเดินผ่านร้านโรมิโอเบเกอร์รี่
เธอจำได้ว่าจางรันชอบขนมนี้ร้านนี้มาก
เธอจึงเดินเข้าไปซื้อขนมเค้กที่เขาชอบที่สุดมาสองสามอย่าง จากนั้นจึงกลับไปที่บริษัทและเดินตรงไปยังห้องทำงานของประธาน
หลังจากเคาะประตูจนมีเสียงตอบรับว่าอนุญาตแล้ว เธอถึงเดินเข้าไปข้างใน
จางรันนั่งประจำบนเก้าอี้บอส เขากำลังตรวจสอบรายงานรายรับและรายจ่ายของไตรมาสก่อนหน้า
หยางหลิงรุ่ยกลัวว่าจะขัดจังหวะการทำงานของเขา เธอจึงทำเพียงส่งยิ้มก่อนจะนั่งลงบนโซฟา
จากนั้นหยิบขนมหวานในถุงออกมาวางไว้บนโต๊ะเล็ก ๆ ตรงหน้า
ผ่านไปไม่กี่นาทีจางรันก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะปิดเล่มรายงานลงแล้วเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามหยางหลิงรุ่ย
เขาหยิบเค้กสตรอเบอร์รี่ขึ้นมาหนึ่งชิ้นและยัดมันเข้าปาก รสชาติหอมหวานของเค้กทำให้จิตใจที่เหนื่อยล้าของเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาไม่น้อย
"นี่ซื้อมาให้ฉันโดยเฉพาะเลยเหรอ"
คำพูดของจางรันทำให้หยางหลิงรุ่ยกลอกตาขึ้นมองบนอย่างอดไม่ได้
“แล้วนายคิดว่าไงล่ะ”
จางรันหัวเราะขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือออกไปรับแก้วชาดำที่หยางหลิงรุ่ยเพิ่งชงเสร็จ : "รู้อยู่แล้วว่าหลิงรุ่ยใส่ใจฉันมาก ๆ"
เขากำลังจะยกชาขึ้นจิบ แต่ถูกมือของหยางหลิงรุ่ยตบเข้าที่แขน
“มันร้อนอยู่นะ!”
ทั้งสองคนพูดคุยหัวเราะกันจนของหวานบนโต๊ะถูกทานจนเกลี้ยง
จางรันเอนตัวพิงกับโซฟ้า ท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าของเขาทำให้หยางหลิงรุ่ยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
“นายเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ต้องรู้จักแบ่งเวลาทำงานและเวลาพักผ่อน อย่าโหมตัวเองมากนัก"
เมื่อได้ยินหยางหลิงรุ่ยพูดขึ้นด้วยความห่วงใย จางรันก็ระบายยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเบา : "ไม่เป็นไรหน่า ร่างกายของฉันทนต่อแรงต้านทานได้เยอะ งานเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้ทำฉันเหนื่อยไม่ได้หรอก"
ทันทีที่พูดจบ เขาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก
"หลิงรุ่ย อีกสองวันคุณพ่อคุณแม่ของฉันจะมาหา เรื่องที่คุยกันก่อนหน้านั้นเธอพิจารณาได้แล้วหรือยัง"
หยางหลิงรุ่ยใจสั่นระรัว เธอรู้ว่ายังไงก็หลบไม่พ้นเรื่องนี้ได้จริง ๆ
ใบหน้าของเธอซีดลงเล็กน้อย มือทั้งสองข้างบีบจับเสื้อผ้าอย่างไม่รู้ตัว
“อารัน เรื่องนั้น ให้เวลาฉันอีกหน่อยได้ไหม ฉันรู้สึกว่าตัวเองยังโตไม่พอและอีกอย่างยังมีชิงหรงด้วย ฉัน ... ”
เธอไม่ได้พูดตอบอย่างชัดเจน แต่คำตอบของเธอนั้นแฝงไปด้วยการปฏิเสธในตัวอยู่แล้ว
แววตาของจางรันฉายประกายความเศร้าขึ้นแวบหนึ่ง เขามองดูผู้หญิงที่สง่างามและมีความรู้ความสามารถตรงหน้าที่กำลังประหม่าจนใบหน้าไม่เหลือสีของเลือดฝาดหลงเหลืออยู่
นั่นทำให้เขารู้สึกเห็นใจขึ้นมา
“อืม ไม่รีบ... ”
เขาแทบจะกัดฟันพูดประโยคนี้ออกมา
แต่หยางหลิงรุ่ยกลับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดหวังในน้ำเสียงของเขา
เธอรู้สึกราวกับได้รับการอภัยโทษ ร่างกายและหัวใจของเธอรู้สึกผ่อนคลายลงในทันที ก่อนจะปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของเธอ ร่างกายของจางรันก็แท็งทื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
เขารู้ว่าหยางหลิงรุ่ยยังคงมองเขาเป็นเพียงน้องชาย
ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน ดูแลเอาใจใส่เธอมากเพียงใด หรือพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้เธอตกหลุมรักเขามากเท่าไหร่
แต่เธอก็ไม่เคยเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาเลยสักนิด
หลังจากที่หยางหลิงรุ่ยผ่อนคลายลงแล้ว เธอก็ตระหนักได้ว่าท่าทีของเธอนั้นดูจะชัดเจนเกินไป
เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของจางรัน
หัวใจของเธอหล่นวูบลงทันที เมื่อรู้ว่าตนเองอาจจะทำเกินไปสักหน่อย จากนั้นเธอจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบา : "อารัน นายเคยคิดถึงเรื่องอนาคตของพวกเราไหม"
"หือ?" จางรันรอให้หยางหลิงรุ่ยเอ่ยต่อ ถึงแม้จะพอคาดเดาคำพูดต่อไปของเธอได้
"ชิงหรงเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่หนึ่งแล้ว เธอรู้เรื่องรู้ราวแล้ว และอาจจะไม่สามารถยอมรับคนเข้าไปในครอบครัวคนใหม่ได้"
“ฉันจะพยายาม”
"ฉันแก่กว่านายตั้งกี่ปีและผู้หญิงนั้นมักจะแก่เร็วกว่า ซึ่งมันดูไม่ค่อยยุติธรรมกับนายเลย เพราะนายยังสามารถหาคนที่ดีกว่านี้ได้"
“ฉันไม่ถือ”
“แต่ว่าฉันถือ ในใจของฉันมองว่านายเป็นน้องชายมาเสมอ สำหรับฉันแล้วนายคือญาติคนที่ฉันรักมาก ๆ !”
หลังจากพูดสิ่งนี้หยางหลิงรุ่ยก็รู้สึกโล่งใจทันที
ในที่สุดเธอก็ได้พูดในสิ่งที่เธอเก็บเอาไว้ในใจมานาน
แม้ว่าตัวเธอเองจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะหัวใจของเธอสั่งให้พูดออกไปแบบนั้นหรือเป็นเพราะคำพูดขู่ของฮั่วเทียนหลันกันแน่
จางรันมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างเหม่อลอย ท่าทางที่ดูโล่งใจของเธอนั้น ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย
อันที่จริงเขาก็สงสัยมาตลอดสองปีที่ผ่านมาว่าเขานั้นเรียกร้องมากเกินไปหรือเปล่า
การที่เธอสูญเสียความทรงจำ ลืมฮั่วเทียนหลันและลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่เมือง Z
นั่นก็ถือเป็นความโชคดีเรื่องโชคชะตาอย่างหนึ่ง เพราะมันสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในวัยเยาว์ที่เธอพบเจอมาทั้งหมดได้
ภายหลังเขาก็มีความคิดอยากจะดูแลเธอไปตลอดชีวิต
เมื่อก่อน เธอไม่สามารถปล่อยให้เขาทนทุกข์ทรมานได้
และวันนี้ เขาเองก็ไม่อยากให้เธอต้องเป็นทุกข์เช่นเดียวกัน
แต่พอเขาพยายามเข้าใกล้เธอมากขึ้น เธอกลับไม่เคยคิดที่จะเปิดใจให้เขาเลยสักนิด
พวกเขาทั้งสองถูกหยุดไว้แค่ความสัมพันธ์ในฐานะแฟนเท่านั้น หรือแม้กระทั่งอยู่ในจุดที่ห่างเหินกว่ายิ่งกว่านั้นเสียอีก
เขากลัวมากว่าเธอจะจำเรื่องราวในอดีตได้ กลัวว่าเธอจะจำได้ว่าตนเองนั้นคืออันหรันและจำเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนได้
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เขามีอยู่ทั้งหมดก็คงต้องสูญเสียมันไปอย่างแน่นอน
ความคิดที่อยากจะปกป้องเธอของเขานั้นกลายเป็นเพียงความฝันที่แตกสลาย
ในตอนแรกเธอเป็นพี่สาวของเขา ต่อมาก็กลายเป็นผู้หญิงที่เขาต้องการครอบครองเอาไว้
"หลิงรุ่ย จริง ๆ แล้วฉัน ... "จางรันพยายามที่จะกอบกู้เรื่องทั้งหมด แต่หยางหลิงรุ่ยกลับส่ายหัวตอบกลับมา
ขอบตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา : "อารัน ฉันคิดดีแล้ว นายไม่ต้องพูดโน้มน้าวฉันหรอก"
คำพูดเหล่านี้ตรึงอยู่ในใจของหยางหลิงรุ่ยมานานมากแล้ว
เธอไม่กล้าเผชิญหน้ากับอดีต แต่ก็ไม่อาจที่จะครอบครองปัจจุบันเอาไว้ได้
จางรันยังหนุ่มยังแน่น ยังมีสิ่งสวยงามมากมายรอเขาอยู่
เขาไม่ควรมาเสียเวลากับเธอโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้
เธอไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะวางมือและปล่อยให้เขาไปมีชีวิตที่อิสระ
“นายอายุยังน้อยและมีตัวเลือกอีกมากมาย ถ้าหากเจอผู้หญิงที่เหมาะสมก็เข้าไปจีบเธอซะ ต่อจากนี้ไปพวกเราก็ยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม!”
พอพูดประโยคนี้ออกไป แม้ว่าจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่สมองของหยางหลิงรุ่ยก็ยังคงว่างเปล่า
ความรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียยังคงลอยวนอยู่ภายในหัวใจของเธอไม่ยอมหายไปไหน
เธอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองนั้นตัวคนเดียวอย่างเต็มรูปแบบแล้ว
จางรันยิ้มอย่างขมขื่นและมองไปที่หยางหลิงรุ่ยอย่างไม่วางตา การเปลี่ยนแปลงของเธอช่วงไม่กี่วันมานี้ เขาเองก็พอสังเกตได้
ส่วนทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนไปเช่นนี้นั้น ก็คงเป็นเพราะอะไรไม่ได้นอกจากผู้ชายคนนั้น
"หลิงรุ่ย เรื่องที่เธอพูดกับฉันทั้งหมดเป็นเพราะเจตนาของเธอจริง ๆ หรือเปล่า"
หยางหลิงรุ่ยตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย ในใจของเธอเองก็กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาถามออกมาเหมือนกันว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการจริง ๆ ใช่ไหม
แต่คำตอบอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าหากฮั่วเทียนหลันไม่ปรากฏตัวขึ้นมา เธอคงจะอยู่กับจางรันไปตลอดชีวิตแน่นอน
ได้ใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ ปราศจากโซ่ตรวนและอุปสรรคต่าง ๆ
"อืม ... " หยางหลิงรุ่ยพยายามเค้นคำพูดออกมาจากปาก
จางรันหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา ก่อนจะกรอกน้ำชาร้อนหมดทั้งถ้วยเข้าไปในปาก ถึงได้ทำให้เขารู้สึกสงบลง
เขายื่นมือออกไปกุมมือเล็ก ๆ ของหยางหลิงรุ่ยอย่างแผ่วเบา
หยางหลิงรุ่ยตัวแข็งทื่อ ก่อนจะพยายามชักมือกลับอย่างไม่รู้ตัว
แต่จางรันกลับกุมมือเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“เป็นคนรักไม่ได้ เป็นญาติสนิทแบบนี้จับมือก็คงไม่เกินไปหรอกใช่ไหม พี่สาว!”
คำเรียกว่าพี่สาวนั้นทำให้หยางหลิงรุ่ยเกิดความรู้สึกมากมายขึ้นมาในใจ
เธอเงยหน้าขึ้นมองจางรันก่อนจะอ้าปากขึ้นอย่างต้องการจะเอ่ยอะไรออกมาแต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ
ขอบตาของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำอุ่นสีใสที่ตอนนี้เริ่มไหลลงมาตามกรอบหน้าสวย
หัวใจของจางรันขมขื่น แต่ใบหน้าของเขากลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏอยู่ เขายื่นมือไปเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของหยางหลิงรุ่ยเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน : "ทำไมถึงร้องไห้เล่า หลิงรุ่ย พี่สาว ไม่ว่ายังไงก็ตามฉันจะเป็นคนสนิทและใกล้ชิดของพี่ที่สุด หากพี่มีเรื่องอะไรต้องการให้ฉันช่วยก็มาหาฉันได้ตลอดเลยนะ"
ภายใต้คำพูดที่สงบและจริงใจนั้นถูกเก็บซ่อนเอาไว้ซึ่งความข่มขื่นภายในหัวใจ และมีเพียงจางรันคนเดียวเท่านั้นที่รู้
ตอนนี้เขาแทบอยากจะหาที่ร้องตะโกนปลดปล่อยอารมณ์ที่หดหู่ของตนเองเต็มทน
ทำไมโลกแสนเศร้าใบนี้ถึงได้เล่นตลกกับเขานัก
ความอบอุ่นที่มือของจางรัน ทำให้ความรู้สึกผิดในใจของเธอเพิ่มขึ้นไปอีก
แม้ว่าจางรันจะไม่ดุด่าต่อว่าเธอ แต่หากเขาทำหน้าบึ้งตึงและไล่ให้เธอไสหัวออกไปเพื่อที่จะระบายความโกรธออกมาบ้าง เธอคงก็จะรู้สึกดีกว่านี้
แต่เขากลับไม่มีแม้แต่คำพูดตำหนิเธอเลยด้วยซ้ำ
"ขอโทษนะ อารัน ขอโทษจริง ๆ ... "
ขณะที่พูดตัวของหยางหลิงรุ่ยก็สั่นไปด้วย
จางรันลุกขึ้นก่อนจะกดตัวหยางหลิงรุ่ยเข้าหาตัวเอง เขาพยุงไหล่ที่สั่นเทาของเธอเอาไว้ และไม่ได้ทำอะไรที่ใกล้ชิดไปมากกว่านั้น
“ฉันไม่โทษพี่หรอก ฉันหวังมากเกินไปเอง ตอนนี้ช่วยสัญญากับฉันสักอย่างสิ”
“อืม นายพูดมาสิ ขอแค่ฉันสามารถทำให้ได้... ”
“ต่อจากนี้ไปอย่าร้องไห้อีกเลยนะ!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง