แม้เธอจะรู้ว่าตงเหยียนออกโรงจัดการเอง จะสามารถควบคุมให้เรื่องนี้อยู่ภายในขอบเขตได้
แต่หยางหลิงรุ่ยกลับรู้สึกใจอ่อนขึ้นมาอีกแล้ว
"จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กคนนั้นและพ่อแม่ของเธอจะไม่ปรากฏตัวภายในโรงเรียนอีกต่อไป"
ตงเหยียนพูดอย่างไม่แยแส ใครที่กล้ารังแกคนของตระกูลหยางนั้น จะต้องจ่ายค่าชดใช้อย่างแน่นอน
มันไม่ใช่เพราะเธอโหดร้าย แต่หยางหลิงรุ่ยเคยให้โอกาสพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่รักษาเอาไว้เอง
เช่นนี้ ก็อย่ามาโทษว่าครอบครัวหยางใช้อำนาจจัดการปัญหาเลย
หยางหลิงรุ่ยอ้าปากขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไร
เดิมทีเธออยากพูดว่ามันดูจะใจร้ายไปหน่อยสำหรับเด็ก แต่เมื่อนึกถึงเจ้าเด็กเปรตคนนั้น เธอก็รีบเก็บความคิดที่จะพูดสิ่งดี ๆ ลงในทันที
เด็กเปรตคนแบบนี้ ไม่ตีให้ตายก็ถือว่าไว้หน้ามากแล้ว
ชีวิตวันต่อ ๆ ปกติไป ก็ดูเหมือนจะเริ่มกลับเข้าสู่ปกติ
ที่บริษัท หลี่ซือหยวนได้ออกโรงเรียกพบผู้ที่ให้การสนับสนุนหลี่ชานชานสองสามคนหลัก ๆ ด้วยตัวเอง
ตำแหน่งของหลี่ซือหยวนคืออะไรน่ะเหรอ ก็คือผู้จัดการใหญ่ของบริษัท เขาเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น หากเรื่องไหนที่เขาได้ออกโรง คนอื่น ๆ จะต้องรับฟังและทำตามคำพูดของเขาทั้งหมด
เนื่องจากผู้สนับสนุนได้รับการตักเตือนแล้ว ทำให้เกิดปรากฏการณ์ลูกโซ่นั่นก็คือข่าวลือทั้งหมดภายบริษัทเงียบหายลงไปทันที
แม้แต่หลี่ชานชานเองก็ด้วย หากพบเจอหยางหลิงรุ่ยเมื่อใดจะต้องเรียกผู้อำนวยการหยางอย่างสุภาพเช่นกัน
อีกทั้งเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสบาย ๆ ที่เธอมักจะสวมใส่มาที่บริษัทเสมอ เพื่ออวดหุ่นสวยของตนเองนั้น บัดนี้เธอก็ยังต้องห่อตัวด้วยชุดทำงานมาอย่างห้ามไม่ได้
สำหรับสุนัขรับใช้ของหลี่ชานชานนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะพวกเธอต่างก็ตื่นตระหนกด้วยความกลัว
แม้ว่าหลี่ชานชานจะไม่ได้พูดอะไร แต่ทุกคนก็ไม่ได้ตาบอด หลังจากที่พวกเขามองเห็นบรรยากาศแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างหลี่ชานชานและหยางหลิงรุ่ย
แม้ไม่ใช้สมองคิด ก็สามารถเดาได้ว่าหลี่ชานชานนั้นกำลังยอมก้มหัวให้ไปก่อน
ดังนั้น กลุ่มคนที่ถูกนำโดยจินไห่เว่ยก็ค่อย ๆ เก็บคมลงไปในที่สุด
นอกจากนี้จินไห่เว่ยยังจัดฉากเพื่อแสดงความภักดีของตนที่มี
แต่หยางหลิงรุ่ยรู้อยู่แล้วว่าเธอปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นยังไงจึงไม่ได้คิดจะสนใจ จนสุดท้ายจินไห่เว่ยกลับกลายเป็นคนน่าสมเพช และถูกเย่ตงขับไล่ออกไปจากห้องอย่างรู้สึกทนไม่ไหว
ในโลกนี้มีเรื่องที่ไร้ยางอายมากมาย
แต่สิ่งที่บ่งบอกถึงความไร้ยางอายนั้น ก็คือคน ๆ นั้นไม่มีจุดยืนเป็นของตัวเอง ทั้งนี้ยังสามารถขายศักดิ์ศรีของตัวเองเพื่อแลกมาซึ่งสิ่งของเพียงเล็กน้อย
และจินไห่เว่ยก็กำลังเล่นเป็นคนแบบนี้อยู่
ภายในห้องเขียนบท จินไห่เว่ยที่เดิมทีมักจะพึ่งพาหลี่ชานชานอยู่เสมอ
แต่เพราะไม่เป็นที่โปรดปรานจึงตกเป็นแพะรับบาป ที่ถูกหลี่ชานชานอ้างเหตุผลเพื่อกดเธอเอาไว้ที่ซอกมุมหนึ่ง
บรรยากาศภายในห้องเขียนบทนั้น เนื่องจากหลี่ชานชานเป็นคนควบคุม จึงเป็นไปตามที่คิด
นักเขียนบทภาพยนตร์ที่แท้จริงนั้น ต่างได้รับการว่าจ้างจากบริษัทด้วยเงินเดือนที่สูงมาก และพวกเขาแทบจะไม่มานั่งทำงานในห้องทำงานเช่นนี้ เพราะโดยปกติแล้วพวกเขาจะทำงานนอกบริษัทหรือไปสังเกตการณ์ตามสถานที่เป็นส่วนใหญ่
หลี่ชานชานจึงควบคุมจัดการเพียงกลุ่มคนที่ทำงานเบ็ดเตล็ดเท่านั้น
แต่มีสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันได้ นั่นก็คือกฎภายในห้องเขียนบท เป็นหลี่ชานชานที่กำหนดมันขึ้นมา
ฉะนั้นจินไห่เว่ยที่ไม่ได้รับความโปรดปราน จึงต้องรับบทบาทที่พนักงานใหม่เคยประสบพบเจอมากับตัวอย่างหลีกเลี้ยงไม่ได้
นั่นก็คือ ซื้อข้าว ทำโอที ทำความสะอาด และยังต้องคอยวิ่งเต้นจัดการธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ...
เมื่อคนล้ม มักจะมีคนคอยเหยียบอยู่เสมอ
เพื่อนร่วมงานหลายคนที่เดิมทีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจินไห่เว่ยไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไป พวกเขาจึงแอบไปพูดกับจินไห่เว่ยว่า ถ้าหากไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนแล้ว
แต่จินไห่เว่ยกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะเธอเชื่อในประโยคที่ว่าความเพียรพยายามจะทำให้อนาคตสดใสอย่างแน่นอน
หลังจากทำงานอย่างหนักในการเขียนบทมาตลอดทั้งเช้า เมื่อถึงตอนเที่ยงจินไห่เว่ยก็วางงานลงและรีบไปซื้อข้าวให้กับเพื่อนร่วมงานที่ห้องเขียนบท
หลังจากที่เพื่อนร่วมงานได้ทานอาหาร กับข้าวที่เธอสั่งมาก่อนหน้านี้ก็เย็นไปหมดแล้ว
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้และการทานข้าวที่น่าเวทนาเช่นนี้ ทำให้จินไห่เว่ยสงสัยในตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ว่าความพยายามเช่นนี้มันยังมีความจำเป็นอยู่หรือเปล่า
เพราะตราบใดที่หลี่ชานชานยังอยู่ที่ห้องเขียนบท จินไห่เว่ยก็ต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
หลังจากเพื่อนร่วมงานทานข้าวเสร็จแล้ว เศษซากอาหารที่อยู่บนโต๊ะนั้นก็ตกเป็นหน้าที่ของเธอที่ต้องทำความสะอาด
เมื่อทำความสะอาดไปจนถึงโต๊ะของหลี่ชานชาน จินไห่เว่ยไม่ทันระวังทำให้มือไปโดนต้นฉบับของหลี่ชานชานโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทันใดนั้น คราบน้ำมันสีเหลืองทองก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษสีขาวสะอาด
หลี่ชานชานที่ลุกขึ้นเตรียมจะไปล้างมือ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างโมโห : "เธอตาบอดหรือไง"
คำง่าย ๆ เพียงสามคำเท่านั้น แต่กลับสร้างแรงกดดันมหาศาล จนเอวของจินไห่เว่ยราวกับถูกกดจนโค้งงอลงมา
เธอรีบโค้งคำนับลง ก่อนจะรีบเอ่ยขอโทษขอโพยทันที : "ขอโทษค่ะ พี่ชานชาน ฉัน ... "
"ฉันเหี้ยอะไร? รู้หรือเปล่ากว่าฉันจะเขียนบทขึ้นมาได้มันยากแค่ไหน แต่กลับถูกเธอทำให้กระดาษสกปรกแบบนี้ง่าย ๆ นี่เธอจงใจใช่ไหม"
หลี่ชานชานเอ่ยต่อว่าอย่างไม่เกรงใจ แต่ใบหน้ากลับมีรอยยิ้มของผู้ชนะประดับอยู่
นั่นทำให้ใบหน้าของจินไห่เว่ยซีดเผือดทันที แต่ก็ทำได้เพียงกล่าวขอโทษด้วยท่าทีน้อยใจ
คนที่อยู่ใต้ชายคาเตี้ย ๆ จำเป็นต้องก้มหัว
กระดาษแผ่นนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะเป็นผลงานมาจากหลี่ชานชานที่นั่งทำอยู่ตลอดทั้งเช้าจริงเหรอ
เธอเองก็ไม่ได้ตาบอด แน่นอนว่าเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าบนกระดาษนั้นมีเนื้อหาไม่ถึงสิบบรรทัดเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะเป็นมือใหม่หรือคนที่ไม่เคยพิมพ์มาก่อน ใช้เวลาชั่วโมงหนึ่งก็ยังสามารถพิมพ์ออกมาได้เช่นนี้
แต่หลี่ชานชานต้องการหาเหตุผลมาอ้างเท่านั้น
"เหอะ……"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง