ในช่วงเวลาสองปีที่ผ่านมาร่างกายของคุณนายฉีแย่ลงไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเวลาพักผ่อนจึงเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
หลังจากคุณนายฉีเดินขึ้นไปแล้ว ฉีตานเหวินก็กระแอมไอขึ้นมา
เมื่อได้ยินสัญญาณลับนี้ของเขา คนรับใช้ที่อยู่ในห้องนั่งเล่นก็รู้ในทันทีว่าหมายถึงอะไร
ฉะนั้นห้านาทีต่อมาภายในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่นี้จึงเหลือฉีหลานและฉีตานเหวินเพียงสองคนเท่านั้น
ฉีหลานรู้ว่าฉีตานเหวินมีเรื่องจะพูดกับเธอและเดิมทีเธอก็มีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดกับฉีตานเหวินเช่นกัน
แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วสิ่งที่ควรพูดก็ไม่ควรพูดอีกต่อไป ดังนั้นเธอจึงกลืนคำพูดทั้งหมดลงไปที่เดิม
"คิดพิจารณาดีแล้วใช่ไหม!" ฉีตานเหวินเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน เพราะถึงอย่างไรเขาก็รู้สึกว่าตอนนี้ฉีหลานมีความประนีประนอมบ้างแล้ว
ฉีหลานอ้าปากขึ้นและมองจ้องลึกไปที่พ่อผู้ให้กำเนิดเธอ
จากนั้นจึงทำได้เพียงพยักหน้าตอบรับ
เพียงแต่ว่าในใจของเธอตอนนี้ราวกับมีเสียงคำรามอยู่ตลอดเวลาว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จะคิดพิจารณาดีแล้วได้อย่างไรกัน? เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าการแต่งงานเป็นเรื่องที่เธอต้องตัดสินใจเอง
เมื่อเห็นฉีหลานทำท่าทีไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ฉีตานเหวินก็รู้ว่าไม่สมควรที่จะพูดเรื่องนี้มากไปกว่านี้แล้ว
เขาบอกให้ฉีหลานเตรียมตัวสำหรับงานแต่งงานจะจัดขึ้นในไม่ช้า จากนั้นบทสนทนาก็สิ้นสุดลง
แต่เมื่อลุกขึ้นยืนเขาก็รู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินอ้อมโต๊ะไปที่ด้านหลังของฉีหลานและตบไหล่ของเธอเบา ๆ
"เมื่อลูกแต่งงานกับหยูซิงเหวินและกลายเป็นภรรยาของตระกูลหยูแล้ว ลูกจะต้องขอบคุณในสิ่งที่พ่อทำ!"
หลังจากฉีตานเหวินพูดจบเขาก็ขึ้นไปที่ชั้นบนทันทีโดยไม่รอฟังฉีหลานตอบกลับ
ฉีหลานนั่งตัวแข็งทื่อบนโซฟาเป็นเวลาเนิ่นนาน จากนั้นเธอก็หัวเราะขึ้นมาด้วยความขมขื่น
เรื่องทุกอย่างจบลงแล้วและเธอก็ทำได้เพียงพยายามยอมรับมันเท่านั้น
บางทีการแต่งงานเข้าไปเป็นภรรยาของบ้านตระกูลหยูก็อาจจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายก็ได้
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่อยู่ต่างประเทศ ฉีหลานไม่เพียงแต่เรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตคนเดียวแต่ยังเรียนรู้ถึงวิธีการปลอบใจตัวเองอีกด้วย
เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ก็ปล่อยให้มันล่องลอยไปตามทางของมัน
ตระกูลหยูส่งของหมั้นชิ้นใหญ่มาให้ ใหญ่แค่ไหนน่ะเหรอ ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ทำให้ฉีตานเหวินอยากจะหัวเราะจนถึงในฝันเลยทีเดียว
จากนั้นหยูซิงเหวินก็ได้เตรียมพิธีการทั้งหมดที่จำเป็นสำหรับการแต่งงานตามข้อกำหนดสูงสุด
และการติดต่ออย่างเป็นทางการระหว่างหยู่ชิงเหวินและฉีหลานก็เริ่มต้นขึ้นอย่างช้า ๆ
ความคาดหวังของฉีหลานที่มีต่อหยูซึ่งเหวินก็ค่อย ๆ แตกสลายเมื่อได้ไปมาหาสู่
ฉีหลานต้องการสามีที่ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เธอและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างกลมกลืน
แต่แม้ว่าหยูซิงเหวินจะมีความสามารถในการทำให้ฉีหลานรู้สึกปลอดภัย ทว่าความรู้สึกปลอดภัยที่เขามอบให้ฉีหลานนั้นแฝงไปด้วยความเผด็จการ
ระหว่างที่ฉีหลานและหยูซิงเหวินเริ่มคุยกัน แม้ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตามหรือแม้แต่เป็นเรื่องของฉีหลานเพียงคนเดียวโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหยูซิงเหวิน แต่หยูซิงเหวินก็มักจะตัดสินใจแทนฉีหลานไปหมดทุกอย่าง
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นครั้งสองครั้งฉีหลานยังพอทนได้และไม่ได้แสดงความแตกต่างทางความคิดอะไรมากนัก
แต่พอเกิดขึ้นมาซ้ำไปเรื่อย ๆ ฉีหลานก็ไม่สามารถทนได้ในที่สุด
เธอได้พูดคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังกับหยูซิงเหวินแล้ว
แต่คำตอบของหยูซิงเหวินนั้นกระชับและหยาบคายมากกว่าที่ฉีหลานคิดเอาไว้
หยูซิงเหวินบอกฉีหลานไปตรง ๆ ว่าเธอเป็นภรรยาของเขา ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตามกฎของครอบครัวหยู
แต่มีสิ่งหนึ่งที่หยูซิงเหวินสามารถรับประกันได้นั่นก็คือตำแหน่งและอำนาจที่ฉีหลานต้องการ หยูซิงเหวินสามารถมอบให้เธอได้โดยไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้ที่ชอบให้ทานในรูปแบบเผด็จการ ฉีหลานก็ไม่อาจต่อต้านอะไรได้
หรือพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าเธอไม่มีความสามารถที่จะต้านทาน
คุณนายฉีรู้สึกตื่นเต้นกับการเตรียมตัวสำหรับการแต่งงานของฉีหลานอยู่ทุกวัน ส่วนฉีตานเหวินนั้นก็ไม่ลืมที่จะพูดเตือนฉีหลานทุกวันว่าให้เธอคุยกันดี ๆ กับหยูซิงเหวิน
หลังจากพบเจอกับความสิ้นหวังมาแล้ว ฉีหลานก็เริ่มที่จะยอมรับชีวิตของเธอ
ต่อมาเธอก็จะไปหาอันหรันหรือว่าปัจจุบันคือหยางหลิงรุ่ยเพื่อสั่งทำชุดแต่งงาน
และถัดจากนั้นมาก็เป็นวันแต่งงานของเธอ
วันก่อนงานแต่งงานของเธอ หลังจากครอบครัวฉียุ่งเกี่ยวกับการเตรียมงานแล้วทุกคนก็กลับไปพักผ่อน แม้แต่ฉีตานเหวินก็ออกไปจัดการเรื่องต่าง ๆ สำหรับต้อนรับแขกในวันรุ่งขึ้น
เพราะตระกูลฉีอยู่ที่เมือง Z มาหลายปีแล้วและมีความสัมพันธ์กับอีกหลายตระกูล แม้ว่าในวิกฤตการเงินครั้งนี้คนเหล่านั้นจะไม่ได้ช่วยตระกูลฉีเลยก็เถอะ
แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ทางด้านธุรกิจเดิมทีก็เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่มีความจริงใจอยู่แล้ว หลังจากผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ฉีตานเหวินก็ยังคงเป็นฉีตานเหวินคนเดิมและเพื่อนเก่าเหล่านั้นก็ยังคงเป็นเพื่อนเก่าเหมือนอย่างเคย
ทุกคนต่างคบหากันอย่างราบรื่นราวกับว่าเรื่องก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ฉีหลานนั่งอยู่คนเดียวหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน
เธอมองดูตัวเองหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งใบหน้าสวยในตอนนี้เริ่มมีความซีดเซียว ทำให้เธอกระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
รอยยิ้มสมเพชตัวเองนั้นทำให้เธอดูน่าสงสารเป็นอย่างมาก
ฉีหลานมองดูคุณแม่ด้วยใบหน้าเหยเก คุณแม่และลูกสาวจ้องมองหน้ากันก่อนฉีหลานจะหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ และคุณนายฉีผู้สง่างามและอ่อนโยนคนนี้ก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
ทันใดนั้นทั้งคู่ก็รู้สึกราวกับว่าเวลาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ฉีหลานยังคงเป็นฉีหลานคนเดิมและคุณนายฉีก็ยังเป็นสาวอยู่
ฉีหลานนั่งอยู่ด้านข้างคุณแม่ของเธอและเอนศีรษะลงพิงลบตัวของคุณแม่เบา ๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าของฉีหลาน คุณนายฉีจึงถอดรองเท้าออกและยกเท้าขึ้นไปบนที่นอนเพื่อให้ฉีหลานนอนอยู่บนตักของเธอ
ท่านี้สบายและอบอุ่นมาก ๆ มันเป็นสิ่งที่เมื่อก่อนสองแม่ลูกมักจะทำเป็นประจำ
ดังนั้นฉีหลานจึงนอนลงอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เธอนอนตะแคงตัวเพราะไม่อยากมองจ้องตากับคุณแม่
เพราะเธอกลัว กลัวว่าคุณแม่จะสังเกตเห็นอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ควรมีอยู่ในสายตาของเธอ
สองแม่ลูกไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรขึ้นมา ทั้งห้องนอนจึงตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ
ฉีหลานรู้สึกง่วงเล็กน้อยแต่เธอไม่อยากนอนเลย เธอมีลางสังหรณ์ว่าคุณแม่มาหาเธอตอนนี้จะต้องมาเพื่อพูดคุยกับฉีหลานเกี่ยวกับเรื่องของอนาคตแน่นอน
หรือบางทีอาจจะมาบอกเธอว่าในอนาคตหากเป็นลูกสะใภ้ของคนอื่นแล้วก็ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองบ้าง หรือช่วยเหลือสามีและคอยอบรมสั่งสอนลูก ไม่ก็บอกให้เธอยอมรับชีวิตหลังแต่งงานที่ผู้หญิงทุกคนจะต้องประสบพบเจอ
แต่ประโยคแรกที่คุณแม่เอ่ยขึ้นมานั้นทำให้ฉีหลานตกตะลึงไปในทันที
"ขอโทษนะ!"
เพียงสามคำเท่านั้นที่คุณนายฉีเอ่ยขึ้นมาแต่กลับทำให้ฉีหลานเกิดความครุ่นคิดมากมาย
คุณแม่พูดขอโทษกับเธอในตอนนี้หมายความว่าอย่างไร
หรือว่าคุณแม่จะรู้อะไรบางอย่างมา
เมื่อนึกถึงตรงนี้ฉีหลานก็รีบปฏิเสธในใจทันที
เธอรู้สึกว่าคุณแม่ไม่น่าจะรู้เรื่องเหล่านี้ได้
เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา คุณแม่ก็ไม่เคยสนใจเรื่องราวต่าง ๆ เลย เอาแต่ทำหน้าที่ช่วยเหลือสามีและคอยอบรมสั่งสอนลูกเท่านั้น
"คุณแม่กำลังพูดถึงอะไรอยู่ ทำไมจู่ ๆ ถึงโพล่งออกมาแบบนี้ล่ะคะ!"
ฉีหลานคเอ่ยถามอย่างต้องการทำลายบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบตึง
คุณนายฉียื่นมือออกไปลูบหัวของฉีหลานเบา ๆ ผมของเธอสีดำนุ่มลื่น ใบหน้าที่ละเอียดอ่อนและสวยงามของฉีหลานนั้นมีความคล้ายคลึงกับเธอเป็นอย่างมาก
พูดตามความจริงก็คือใบหน้าและรูปลักษณ์ส่วนใหญ่ของฉีหลานได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณนายฉีแทบจะทั้งหมด
ตอนนี้คุณนายฉีเป็นหญิงสาววัยกลางคนที่อ่อนโยนและสง่า แต่ตอนที่เธอยังเป็นสาวนั้นเธอก็เป็นคนสวยตามสมัยนิยมเช่นเดียวกัน
"แม่ขอโทษนะลูกรักที่แม่ปกป้องหนูไม่ได้จนทำให้หนูต้องน้อยเนื้อต่ำใจ!"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โชคชะตาตื้นมาก แต่ความรักนั้นลึกซึ้ง