เพื่อขอโอสถวิเศษช่วยชีวิตให้ผู้เป็นสามี หรงจือจือคุกเข่ามาแล้วทั้งสิ้นสามพันขั้นบันได
ทว่าผู้เป็นสามีกลับลดขั้นนางจากภรรยาเอกเป็นอนุ เพื่อองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช มิหนำซ้ำยังบอกว่านี่คือวาสนาของนาง!
หลังจากนางหย่าขาดกับสามีแล้ว ก็สมรสกับท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไปทั่วแผ่นดิน
กลางดึก ท่านสมุหราชเลขาธิการกับนางต่างพลอดรักดื่มด่ำลึกซึ้งบนผ้าห่มคู่รัก
โดยที่มีสามีเก่าคุกเข่าอยู่นอกประตู ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ
——
ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผู้คนต่างหัวเราะเริงร่าครึกครื้นมีความสุข
ทว่าในใจของหรงจือจือกลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะสามีของตนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสามปี บัดนี้แม้นั่งอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เอาแต่หลบสายตาของตนเองอยู่ตลอด ไม่กล้าสบตากับตนเองโดยตรงเลยสักครั้ง คล้ายกับว่าเผลอทำเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดกับตนเองเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น
สิ่งนี้ทำให้หรงจือจือรู้สึกหนักใจเล็กน้อย
ยามนั้นเอง ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมองหรงจือจือ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดจะทรงคุณธรรมมากไปกว่าหรงจือจืออีกแล้ว!”
ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนเอ่ยเช่นนี้ สตรีบรรดาศักดิ์ท่านอื่นต่างพากันส่งเสียงชื่นชมออกมา อย่างคล่องปากทีเดียว
“จะไม่ใช่ได้อย่างไร? นางหรงออกเรือนกับซื่อจื่อซิ่นหยางโหวมาสามปี จัดเตรียมพิธีสมรสให้น้องสาวสามีอย่างพร้อมพรัก และยังหาสะใภ้ผู้เพียบพร้อมให้น้องชายสามีด้วย แต่ละวันยังดูแลปรนนิบัติแม่สามีไม่ขาดตกบกพร่อง ยึดมั่นในความกตัญญูอย่างเคร่งครัด น่าเสียดายที่ตัวข้าด้อยวาสนา ไม่มีลูกสะใภ้ที่แสนดีเช่นนี้”
“แค่นั้นเสียที่ไหน? เรื่องที่ทำให้คนทั้งใต้หล้าสรรเสริญ คือเรื่องในตอนนั้นที่ซื่อจื่อซิ่นหยางโหวป่วยหนักต่างหาก แม้แต่หมอยังบอกว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ทุกคนต่างคิดว่าธิดาคนโตสายตรงตระกูลหรงคงจะเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นเองแน่ กลับคิดไม่ถึงว่าจือจือจะตัดสินใจเข้าพิธีสมรสอย่างไม่ลังเล หลังจากสมรสแล้วก็ไปคุกเข่าสามพันขั้นบันได เพื่อขอโอสถวิเศษมาจากปรมาจารย์ซื่อคง มาให้ซื่อจื่อใช้รักษาโรคร้าย ให้ความสำคัญกับความรักและความซื่อสัตย์เพียงนี้ บุรุษตระกูลใดเล่าได้ยินแล้วจะไม่รู้สึกอิจฉา?”
หรงจือจือที่เป็นตัวเอกของบทสนทนา อดทนข่มความรู้สึกกระวนกระวายในใจไว้อย่างยิ่งยวด ก่อนจะอมยิ้มและเอ่ยว่า “พระชายาและฮูหยินทุกท่านชื่นชมเกินไปแล้ว จือจือรับไว้ไม่ไหวจริง ๆ เจ้าค่ะ”
คำชื่นชมสรรเสริญเหล่านี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางได้ยินมาตลอดไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว ชื่อเสียงอันทรงคุณธรรมของนางขจรขจายไปทั่วทั้งแคว้นต้าฉีมานานมากแล้ว และด้วยเหตุผลนี้เอง ในเมืองหลวงจึงมีคำกล่าวไว้ด้วยว่า “ตระกูลหรงมีบุตรี ร้อยตระกูลต่างแย่งชิง”
ในตอนนี้เอง ชายาอ๋องเฉียนพลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จือจือ จะว่าไปสามปีมานี้ ได้ยินว่าซื่อจื่อล้มป่วยนอนติดเตียงมาตลอด ข้ายังคิดว่า โอสถวิเศษที่เจ้าไปขอมานั้นไม่อาจช่วยรักษาซื่อจื่อให้หายดีได้ ได้แค่ประคองชีวิตไว้เท่านั้น”
“คิดไม่ถึงว่าซื่อจื่อจะหายป่วยนานแล้ว และแฝงตัวเข้าไปเป็นจารชนอยู่ที่แคว้นเจา บัดนี้ทำศึกได้ชัยชนะกลับมา และฝ่าบาทก็ทรงจัดพิธีเลี้ยงต้อนรับให้ด้วยพระองค์เอง ดูเหมือนว่าเจ้าจะใช้โอสถที่ว่านั่น ขจัดพิษลึกลับในตัวซื่อจื่อจนหายดีตั้งแต่ครั้งแรกแล้วใช่หรือไม่?”
หรงจือจือยิ้มพลางตอบกลับ “เป็นจริงเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”
ชายาอ๋องเฉียนปรบมือและเอ่ยชื่นชม “เยี่ยมมาก! เยี่ยมมาก! ฮูหยินซิ่นหยางโหว ข้าช่างรู้สึกอิจฉาท่านเสียจริง”
นางถานฮูหยินซิ่นหยางโหวผู้เป็นแม่สามีของหรงจือจือ หนนี้ก็ยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเช่นกัน ดวงหน้าฉายประกายภูมิใจเหมือนได้รับเกียรติไปด้วย คว้ามือข้างหนึ่งของหรงจือจือมาลูบเบา ๆ “ตระกูลข้าได้ลูกสะใภ้ประเสริฐเช่นนี้ นับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของบุตรชายข้าจริง ๆ!”
และเป็นตอนนั้นเอง หรงจือจือค้นพบด้วยสายตาอันเฉียบแหลม ว่าฉีจื่อฟู่สามีของตนกำลังจะหยัดกายลุกขึ้นยืน
บัดนี้ลางสังหรณ์ไม่ดีเหล่านั้น ได้ทะยานมาถึงจุดสูงสุดแล้ว มืออีกข้างหนึ่งของหรงจือจือ เอื้อมไปกำชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้
ฉีจื่อฟู่ชะงักไป ผินศีรษะมองหรงจือจือปราดหนึ่ง คำว่ารู้สึกผิดถูกเขียนไว้เต็มใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนโยนนั้น
หรงจือจือเห็นท่าทีแปลกประหลาดของเขา ลางสังหรณ์เลวร้ายในใจก็ยิ่งมีมากขึ้น นางรีบถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่ ท่านมีเรื่องอันใดจะเข้าไปทูลต่อฝ่าบาทหรือ? พวกเรากลับจวนไปหารือกันก่อนแล้วค่อยทูลต่อฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ?”
ทว่า ฉีจื่อฟู่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ค่อย ๆ ดึงชายแขนเสื้อของตนเอง ออกมาจากกำมือของหรงจือจือทีละน้อย มิหนำซ้ำยังกดเสียงลงกระซิบบอกนางหนึ่งคำ “ข้าขอโทษ!”
จากนั้น ก็สาวเท้ายาวมุ่งหน้าไปกลางท้องพระโรง ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระต่อความเป็นความตาย
เห็นเช่นนี้ หัวใจของหรงจือจือพลันเย็นวาบไปครึ่งหนึ่ง
ทุกคนต่างหยุดชะงักและมองไปที่เขา เห็นฉีจื่อฟู่เดินมากลางท้องพระโรงและคุกเข่าลง ทูลต่อฮ่องเต้หย่งอัน “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะขอความเมตตาพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หย่งอันแม้วัยเพียงสิบสามชันษา แต่กลับมีความดุดันน่าเกรงขามอย่างที่ฮ่องเต้น้อยพึงมีแล้ว
หรงจือจือเองก็จ้องเขม็งฉีจื่อฟู่เช่นนั้น นางอยากรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาเพื่อหักล้างกับผู้ตรวจการจาง
กลับคิดไม่ถึงว่า ฉีจื่อฟู่จะเอ่ยปากกล่าวว่า “ตัวข้าเองทราบดีว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม เพียงแต่จือจือมีคุณธรรม เพื่อความสุขสงบของครอบครัวแล้ว นางกล่าวว่าจะยอมเป็นอนุภรรยาด้วยความเต็มใจ และยกตำแหน่งภรรยาเอกให้องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงนั้นแล้ว เขาก็ส่งสายตาอ้อนวอน มองมาทางหรงจือจือ “จริงหรือไม่? จือจือ?”
หรงจือจือคิดไม่ถึงว่าเขาจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ ถึงได้บอกว่านั่นเป็นคำขอร้องของนาง! ก่อนที่เขาจะเสียสติไปวันนี้ นางยังไม่รู้เรื่องระหว่างเขากับองค์หญิงแคว้นเจาอะไรนั่นด้วยซ้ำ!
ดี! เยี่ยม! ประเสริฐนัก!
ทั้งที่บุคคลผู้นี้คือสามีของนาง คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ!
สายตาไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริงของทุกคน ล้วนแต่มองมาทางหรงจือจือ
แม้กระทั่งพระชายาอ๋องเฉียนยังทนไม่ไหวท้วงขึ้นหนึ่งประโยค “เด็กดี เจ้าต้องคิดให้รอบคอบก่อนนะ การเป็นภรรยาเอกกับการเป็นอนุนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากว่าเจ้าเป็นอนุแล้ว วันข้างหน้าเจ้ากับบุตรของเจ้าจะไม่สามารถออกหน้าออกตาได้ไปตลอดชีวิต!”
ฉีจื่อฟู่เอ่ยทันที “พระชายาโปรดวางใจ บุตรที่เกิดจากจือจือ ข้าน้อยจะดูแลเสมือนเป็นบุตรที่เกิดจากสายเลือดหลักแน่นอน! จือจือ เจ้ารีบพูดอะไรสักอย่างเถิด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าผู้ตรวจการจางจะบอกว่าข้าปั้นเรื่องบิดเบือนความจริงต่อพระพักตร์ฝ่าบาท ถือเป็นการหมิ่นเบื้องสูง!”
สิ้นวาจานั้น เขาก็ถลึงตาจ้องหรงจือจือ
นี่เขาจงใจจับหรงจือจือขึ้นย่างบนกองเพลิงชัด ๆ
หากไม่ยอมรับ เขาก็จะต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง หากทุกคนเห็นว่านางไม่ยืนหยัดปกป้องผลประโยชน์ของสามีตนเองในยามนี้แล้ว ก็จะเสื่อมเสียไปถึงชื่อเสียงของนาง แต่นั่นยังไม่เท่าไร หากว่าฝ่าบาททรงกริ้วเพราะโทษหลอกลวงเบื้องสูงแล้ว เกรงว่าทั้งตระกูลฉีรวมถึงตัวนางเอง จะต้องเผชิญกับโชคร้ายแน่
แต่ถ้าหากยอมรับ นางก็ต้องเป็นอนุ!
จากตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ ภรรยาเอกโดยชอบธรรมอันสูงส่งมีเกียรติ ต้องกลายมาเป็นอนุภรรยาที่ซื้อได้ขายได้ในแคว้นต้าฉี!

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น