หรงจือจือหลับตาสนิทไม่เปล่งวาจา รู้สึกเพียงว่านางถานไร้ยางอายไร้ใดเปรียบ พวกเขาทั้งครอบครัวข่มเหงรังแกนางเช่นนี้ หากเมื่อครู่นางไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว คงได้หนาวตายอยู่ข้างทางจริง ๆ แน่
ถึงยามนี้แล้วยังมีหน้า มาขอให้นางไปอ้อนวอนท่านพ่อ ให้ทำอะไรเพื่อฉีจื่อฟู่อีกหรือ?
ช่างหน้าด้านเสียจริง!
นางถานเห็นนางเงียบกริบไม่ส่งเสียง ก็ขมวดคิ้วพลางตะคอกด้วยเสียงเหี้ยมว่า “นางหรง ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?”
หรงจือจือตอบกลับเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ได้ยินเจ้าค่ะ”
แต่ไม่คิดจะทำตามคำสั่งนั้นหรอก
นางถานกลับคิดว่าหรงจือจือยอมรับคำตามที่บอกแล้ว ท่าทางบึ้งตึงและเสียงตะคอกขู่เข็ญเมื่อครู่ ก็ดูจะผ่อนลงไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำขอร้องต่อสกุลหรง
ต้องโทษสามีของตนเองที่ไม่เอาไหน ทั้งที่เป็นถึงท่านโหวในราชสำนักแต่กลับเงียบเชียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางถานบ่นออกมาเบา ๆ “แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ จื่อฟู่ก็คือสามีของเจ้า เจ้าต้องเทิดทูนเขาไว้เสมอท้องฟ้า!”
“หรือจะบอกว่าแค่เขามีสัมพันธ์กับองค์หญิงท่านนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สามีของเจ้าแล้ว?”
“หากเจ้ามีคุณธรรมจริง ก็ควรจะดูแลเด็กในพระครรภ์ขององค์หญิงเสมือนบุตรที่เจ้าคลอดออกมาเอง หากว่าเป็นเด็กชาย ก็ถือว่าเป็นบุตรชายคนโตของครอบครัวเรา”
“เจ้าเกิดเป็นสตรี จะไม่อาศัยพึ่งพิงบุรุษแล้วหรืออย่างไร? ดูแลบุตรขององค์หญิงให้ดี แล้ววันข้างหน้าแม้เจ้าจะเป็นเพียงอนุ แต่เขาก็จะหาข้าวปลาอาหารมาให้เจ้ากิน!”
เป็นครั้งแรกที่หรงจือจือรู้สึกว่า เสียงพูดของคน บางครั้งยังน่ารำคาญเสียยิ่งกว่าเสียงหมาหอน
ก่อนหน้านี้นางรู้สึกเพียงว่าแม่สามีคนนี้แค่กฎระเบียบเยอะ ยากจะปรนนิบัติดูแล พอมาวันนี้ถึงได้รู้ความจริง คิดไม่ถึงเลยว่าแม่สามีจะใจดำอำมหิตและเห็นแก่ตัวได้ถึงเพียงนี้
จริงอย่างที่คาดคนเรามักต้องเผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่างก่อน ถึงจะกระชากหน้ากากที่สวมอยู่ในชีวิตประจำวันออกมาได้
ท่ามกลางเสียงบ่นไม่หยุดของนางถาน ในที่สุดรถม้าก็เคลื่อนกลับมาถึงจวนโหวแล้ว หลังจากรถม้าจอดสนิท หรงจือจือที่นั่งอยู่นอกสุดก็ลงจากรถม้าก่อน
เพียงแต่หนนี้ นางกลับไม่หันไปประคองนางถานลงจากรถม้าด้วยความสุภาพนบนอบเหมือนอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา แต่เอ่ยปากขึ้นว่า “วันนี้ข้ารู้สึกไม่สบายตัวนัก ขอตัวกลับไปที่เรือนก่อน!”
สิ้นเสียงนี้ นางก็นำหน้าเจาซีสืบเท้ายาว มุ่งตรงไปที่เรือนของตนเองทันที
เมื่อก่อนที่เคยทุ่มเทปรนนิบัตินางถานสุดดวงใจ นั่นก็เพราะความกตัญญู บัดนี้เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว นางถานไม่คู่ควรกับความกตัญญูของนางแม้แต่น้อย
ภายใต้การประคองของฉีจื่อฟู่ นางถานลงจากรถม้าพร้อมโทสะที่เดือดกรุ่น ชี้นิ้วไปยังเงาหลังของหรงจือจือ โกรธจนร่างกายแทบทรุดลงให้ได้ “เจ้าดูนางสิ พวกเจ้าดูนางสิ! วันนี้กลายเป็นบ้าอะไรไปแล้วไม่รู้!”
ฉีจื่อฟู่เอ่ยทันที “ท่านแม่ ลูกจะไปเกลี้ยกล่อมนาง คิดดูแล้วคงนางอาจจะแค่ทำใจยอมรับทันทีไม่ได้ ไว้ลูกได้คุยกับนางดี ๆ สักพัก ปัญหาจะต้องคลี่คลายได้แน่นอนขอรับ”
นางถานโบกมือ บอกเป็นนัยว่าหากเขาจะไปจงรีบไป วันนี้นางรู้สึกว่าประเดี๋ยวจะต้องขาดใจตายเพราะโทสะแน่
กระทั่งฉีจื่อฟู่เดินออกไปแล้ว
นางถานหวนคิดถึงเหตุการณ์บนรถม้าเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ทันใดนั้นก็ยกเท้าเตะรถม้าของหรงจือจือไปหนึ่งที ใครจะรู้ว่ารถม้าคันนั้นจะแข็งมาก ทำนางเจ็บจนหน้าถอดสี ร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด
ซิ่นหยางโหวมองนางปราดหนึ่งด้วยความรำคาญ “ดูเจ้าสิ ไม่เหลือเค้าของฮูหยินโหวแม้เพียงสักนิด!”
สิ้นเสียงนั้น ก็สืบเท้ายาว ๆ เข้าไปในเรือน
นางถาน : “…!”
ทั้งหมดต้องโทษนางแพศยาชั้นเลวหรงจือจือ หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายทำให้ตนเองโมโหแล้ว ตนเองหรือจะถูกท่านโหวดูหมิ่นดูแคลน?
เช้าวันพรุ่งนี้ หรงจือจือจะต้องมาน้อมคารวะตนในยามเช้า นางจะต้องทำให้หรงจือจือได้คุกเข่านานขึ้นกว่าเดิมแน่!
……
หรงจือจือครั้นกลับมาถึงเรือนของตนเองแล้ว ก็หันไปมอบหมายหน้าที่ให้เจาซี “ส่งคนกลับไปถามเรือนสกุลหรง ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นในเรือน”
งานเลี้ยงค่ำวันนี้ ท่านพ่อมิได้มาเข้าร่วม คิดว่าคงส่งคนเข้ามาทูลขอพระราชทานลาจากฝ่าบาทแล้ว
งานเลี้ยงฉลองชัยของบุตรเขย ท่านพ่อยังไม่มาร่วมงานเลี้ยง เกรงว่าในเรือนคงเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่แล้ว
“และอีกอย่าง หากตอนแรกองค์หญิงม่านหวามิได้ช่วยชีวิตข้าไว้ บัดนี้ข้าคงตายไปนานแล้ว ยามนี้เจ้าคงเห็นข้าด้วยตาเนื้อไม่ได้แล้ว นางเป็นผู้มีบุญคุณของพวกเราสองคน ขอแค่เจ้ายอมยกตำแหน่งภรรยาเอกให้นางมันจะเป็นอะไรไปหรือ?”
หรงจือจือ : “…”
ในฐานะของสะใภ้ใหญ่คุณธรรมซึ่งประพฤติตนตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดมานานหลายปี นางคงไม่ควรพูดออกไปว่า : บัดนี้ท่านกลับมาพร้อมก่อเรื่องวุ่นวายเสื่อมเสียเช่นนี้ มิสู้ให้ตายไปตั้งแต่ตอนอยู่ที่แคว้นเจาเสียจะยังดีกว่า?
ช่างเถิด ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นขุนนางที่สร้างคุณูปการให้กับต้าฉี หรงจือจือก็ไม่อยากใช้ถ้อยคำผรุสวาทรุนแรงถึงเพียงนี้เหมือนกัน
จึงเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “ท่านพี่ จะขอหย่าก็ย่อมได้ จะรับอนุภรรยาก็ย่อมได้ ทว่านอกเหนือจากนี้ ไม่จำเป็นต้องคุยกันอีก!”
ฉีจื่อฟู่ดำรงตำแหน่งซื่อจื่อ หากจะรับอนุภรรยา หรงจือจือก็ไม่ว่าอะไร ตราบใดที่ไม่สั่นคลอนมาถึงตำแหน่งภรรยาเอกของนาง จะมีอนุสักกี่คน นางจะแสร้งทำเป็นไม่เห็นก็ย่อมได้
ฉีจื่อฟู่ : “ในใจเจ้ามีเพียงตำแหน่งภรรยาเอก ไม่มีอื่นใดเลยหรือ? เจ้ามองข้าเป็นอะไรกันแน่?”
หรงจือจือ : “เช่นนั้นข้าขอถามท่านพี่ ต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาทในวันนี้ ที่ท่านบอกว่าข้าขอเป็นอนุด้วยตนเอง ท่านเห็นข้าเป็นอะไรหรือ?”
เรื่องนี้ความจริงแล้วเขาก็ทำผิดต่อหรงจือจือ ครั้นจะโต้แย้งก็พูดได้ไม่เต็มปาก
หรงจือจือยังเอ่ยขึ้นอีก “ท่านพี่คงจำได้ ในตอนนั้นหลังจากที่ข้าแต่งกับท่านแล้ว ก็รักษาโรคร้ายของท่านจนหายดี ท่านซาบซึ้งใจอย่างยิ่งยวด ในวันที่ต้องจากเมืองหลวงยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะสร้างคุณงามความดีกลับมา และจะทูลขอต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท ให้พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้กับข้า วันนี้ถ้อยคำเหล่านั้นที่ท่านได้เอ่ยต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท คือถ้อยคำที่ท่าน จะใช้ทูลขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ข้าหรือ?”
ฉีจื่อฟู่เป็นใบ้ไปอีกครั้ง นานครู่ใหญ่ถึงจะเอ่ยออกมา “จือจือ ข้าติดค้างเจ้าแล้ว วันข้างหน้าข้าจะชดใช้คืนให้เจ้าร้อยเท่าเลย!”
“ต่อให้เจ้าสูญเสียตำแหน่งภรรยาเอกไป ก็หาใช่เรื่องใหญ่อันใด เจ้ายังมีความรักของข้า ข้าสาบานอย่างสัตย์จริงว่าข้าจะดูแลเจ้าให้ดีกว่าที่ผ่านมา”
“ม่านหวานางกำลังตั้งครรภ์ ยามนี้ก็มิได้สะดวกปรนนิบัติดูแลข้า”
“จะว่าไปในตอนนั้นพวกเราสองคนยังมิทันได้ร่วมเรือนหอด้วยกันเลย ข้าแสร้งว่ากำลังป่วยหนักเพื่อจะแฝงตัวเข้าไปในแคว้นเจา เจ้าและข้าสามีภรรยามิได้พบกันนานหลายปี วันนี้ควรจะได้อยู่เคียงคู่คลอเคลียกันสิถึงจะถูก!”
“กลับปล่อยให้เรื่องน่าหงุดหงิดเหล่านี้ ทำให้เราสองต้องผิดใจกันเสียนาน เรียกพวกบ่าวรับใช้ให้ไปเตรียมน้ำ และเข้ามาปรนนิบัติระหว่างพวกเราพักผ่อนเถิด!”
เอ่ยพลาง เขาก็เตรียมจะเข้ามากอดหรงจือจือ…

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น