หรงจือจือไม่คิดเลยสักนิด ทั้งที่สองคนทะเลาะกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีจื่อฟู่จะยังคิดถึงเรื่องร่วมเรือนหอได้อีก
นางถอยหลังกลับไปอีกสามก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าเยือกเย็น “ท่านพี่ ก่อนที่จะจัดการเรื่องขององค์หญิงม่านหวา ท่านกลับไปที่เรือนของท่านก่อนเถิด!”
ฉีจื่อฟู่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หรือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง แม้แต่สัมผัสตัวเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าสัมผัสแล้วหรือ?”
หรงจือจือมิได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่เอ่ยว่า “ท่านพี่เชิญกลับไปเถิด!”
สีหน้าของฉีจื่อฟู่ ในที่สุดก็เยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุดแล้ว “ดี! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ารักข้า ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสกุลฉีเราด้วยความยินดี ข้ากลับมองว่าสิ่งที่เจ้ารักมากกว่า คือตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ อย่างเจ้าก็แค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้นถึงได้ยอมสมรสกับข้า!”
หรงจือจือเงียบเชียบไม่เอ่ยปาก เพียงแต่อยากหัวเราะออกมาเท่านั้น เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรือ? ในฐานะบุตรีสายตรงคนโตของมหาราชครูหรง ด้วยตำแหน่งของบิดา ณ วันนี้เวลานี้ ต่อให้นางจะแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาอ๋องก็ย่อมทำได้
หากมิใช่เพราะท่านพ่อและซิ่นหยางโหวหมั้นหมายนางไว้ตั้งแต่ยังเป็นทารก ซื่อจื่อจวนโหวที่ป่วยใกล้ตายคงไม่มีวาสนาได้รับนางไปเป็นภรรยาหรอก
ทว่าบัดนี้ ไม่อยากเชื่อว่าฉีจื่อฟู่จะกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา…
ช่างเถิด คุยไม่ถูกคอ ก็ไม่จำเป็นต้องคุย
เห็นดวงหน้างามพิลาสของหรงจือจือเย็นชาอย่างถึงที่สุด แฝงด้วยความห่างเหินที่เห็นได้ชัด และความเด็ดขาดแน่วแน่ของการผลักไส ดูไม่เห็นเค้าว่าจะพยายามแก้ต่างเพื่อตัวนางเองแม้แต่น้อย
ฉีจื่อฟู่ก็ดึงหน้าตึง ก่อนจะออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา
กระทั่งเขาเดินออกไปแล้ว เจาซีถึงจะเข้ามา พลางถามไถ่หรงจือจือด้วยความเป็นห่วง “ฮูหยินซื่อจื่อเจ้าคะ เหตุใดซื่อจื่อถึงได้ออกไปเจ้าคะ? พวกท่านมิได้พบหน้ากันนานสามปี เขาไม่ค้างที่เรือนของท่านหรือเจ้าคะ?”
หรงจือจือ : “ข้าไล่เขาเอง”
เจาซี : “?”
หรงจือจือไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็อธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ ให้เจาซีได้เข้าใจอย่างกระจ่าง
เจาซีฟังจบก็โกรธจนตัวสั่น นางกำลังสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าเหตุใดเมื่อตอนออกจากวังหลวง ถึงได้รู้สึกว่าสถานการณ์ดูจะแปลกไป พวกนายหญิงเอาแต่พูดถึงเรื่องเป็นอนุไม่จบสิ้น
ทว่าเจาซีครุ่นคิดแล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยินซื่อจื่อ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็น่าจะยิ่งต้องการให้ท่านซื่อจื่ออยู่ต่อมิใช่หรือเจ้าคะ? หากท่านอ่อนโยนและเอาใจใส่เขามากกว่านี้สักหน่อย ไม่แน่เขาอาจเปลี่ยนใจกลับมาก็ได้เจ้าค่ะ?”
หรงจือจือตอบกลับอย่างเถรตรง “หากเขานอนค้างที่เรือนนี้ ข้าคงมีแต่จะรู้สึกสะอิดสะเอียน”
นางได้รับการอบรมสั่งสอนในฐานะบุตรีในตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ และถูกปลูกฝังหลักสามเชื่อฟังสี่จริยามานานหลายปี ยังอดทนกับคนแบบนี้ไม่ได้ บางทีในตัวนาง อาจแอบซ่อนความดื้อรั้นไว้อยู่ก็เป็นไปได้
อีกอย่าง จิตใจของคนแบบนี้ จะไปอยากให้เปลี่ยนใจกลับมาเพื่ออะไร?
มันใช่ของที่ควรจะต้องหวงแหนเสียที่ไหน?
เจาซีสะอึกไปเพราะคำพูดของคุณหนูตนเอง ถูกต้องแล้ว หากนางต้องออกเรือนกับคนแบบนี้ แค่คิดความโกรธก็คุกรุ่นอยู่เต็มอกแล้ว
เจาซีถามด้วยเสียงเบาหวิว “คุณหนู แล้วท่านไม่รู้สึกเสียใจเลยหรือเจ้าคะ?”
หรงจือจือเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ “จะเสียใจเพื่ออะไร? ตอนแรกที่ยอมแต่งกับฉีจื่อฟู่ที่ป่วยขี้โรค ก็เพียงเพราะว่าบิดาไม่อยากถูกตราหน้าว่าทิ้งสัญญาหมั้นหมายหลังจากได้ดิบได้ดีแล้วก็เท่านั้น”
“ข้าแต่งเข้ามาก็เพื่อรักษาชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูล และเพื่อการสมรสของคุณหนูคนอื่นในสกุลหรง จุดนี้เจ้าเองก็เข้าใจดี”
“สิ่งที่บุตรีในตระกูลสูงส่ง ถูกตระกูลขุนนางปลูกฝัง และคิดคำนึงไว้ในใจตลอด ก็คือผลประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูล และเกียรติยศของตนเอง มิใช่ความรักที่ไร้ประโยชน์เหล่านั้น ในเมื่อไร้หัวใจแล้ว จะถามถึงความเสียใจอะไรอีก?”
หากเป็นความโกรธหรือผิดหวังมีแน่ แต่ความเสียใจ…ไม่มี!
บุรุษผู้เลิศล้ำในเมืองหลวงมีอยู่มากมาย ในเมืองหลวงที่ยอดคนอัจฉริยะมีอยู่ทั่วทุกแห่งหน เมื่อสามปีก่อน คนที่วิชาการไม่เอาไหนการต่อสู้ก็ไม่พร้อม มีเพียงรูปโฉมใบหน้าเท่านั้นที่พอดูได้อย่างฉีจื่อฟู่ หากไม่ใช่เพราะหมั้นหมายกันไว้แล้ว นางคงไม่แม้แต่ชายตาแล
เจาซีฟังจบก็เงียบไป นางรู้มาตลอดว่าคุณหนูของตนเองเป็นคนมีเหตุผล แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุผลได้ถึงเพียงนี้ หนนี้นางพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่านี่เป็นเรื่องดี หรือเป็นเรื่องเลวร้ายกันแน่
นางถาน : “ข้าบอกแล้วว่าต้องการให้ภายในห้องเย็นจัด! หากจุดไฟไว้ก่อน เมื่อนางเข้ามาแล้ว ห้องจะยังไม่อุ่นอยู่สักระยะหรือ? ข้าไม่ยอมปล่อยให้นางสบายแบบนั้นหรอก!”
สาวใช้เฉินเห็นฮูหยินยืนกรานหนักแน่นเพียงนี้ ก็ได้แต่ทำตามคำสั่ง ทว่าปากก็ยังส่งเสียงบ่นออกมาอย่างอดไม่ได้ “ซื่อจื่อฮูหยินก็เหลือเกินจริง ๆ เมื่อวานก่อเรื่องวุ่นวายเช่นนั้นขึ้นในวังยังไม่ว่า ตกดึกยังไล่ให้ท่านซื่อจื่อไปนอนในห้องหนังสืออีก ไร้ซึ่งลักษณะของสะใภ้ผู้มีคุณธรรมอย่างแท้จริงเจ้าค่ะ!”
พอเอ่ยว่าบุตรชายของตนเองต้องไปนอนในห้องหนังสือขึ้นมา นางถานยิ่งโกรธ “ประเดี๋ยวข้าจะสั่งสอนนางให้รู้ซึ้งเอง มีอย่างที่ไหนจะเป็นลูกสะใภ้แบบนี้?”
“สามีไม่กลับมาสามปี แทนที่จะเอาใจใส่ดูแลเขาให้ดี กลับไล่ให้เข้าไปค้างแรมที่ห้องหนังสือ เพี้ยนไปแล้วหรืออย่างไร? ธรรมเนียมในครอบครัวมหาราชครูหรง เป็นเช่นนี้เองหรือ?”
“คงเพราะครอบครัวข้าตาบอดเอง ถึงได้รับนางอสรพิษชั้นเลวไม่เอาไหนแบบนี้มาเป็นสะใภ้!”
ในปากของนางถานล้วนมีแต่ถ้อยคำดูถูกหรงจือจือ โดยที่ลืมไปหมดสิ้นแล้วว่า ตอนแรกหรงจือจือเป็นคนไปขอบัวไหมสวรรค์มาให้ฉีจื่อฟู่ และรักษาพิษที่อีกฝ่ายมีมาตั้งแต่ในครรภ์จนหายสนิท ในตอนนั้นสกุลฉีรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของอีกฝ่ายเป็นอย่างยิ่ง
สาวใช้เฉินขานรับอย่างเห็นด้วยเต็มที่ “จริงเจ้าค่ะ! นางยังบอกอีกว่าจะขอหย่าขาด ไม่รู้จักคิดเสียบ้าง ว่าหลังจากหย่าร้างกันแล้ว จะไปหาคู่สมรสที่ดีเหมือนอย่างจวนโหวของพวกเราได้ที่ใดอีก!”
นางถานฟังจบ ใบหน้ายิ่งสะท้อนความเยือกเย็นออกมา
มิใช่เพียงเพราะความกรุ่นโกรธที่มีต่อหรงจือจือเท่านั้น แต่เพราะความหนาวเย็นในเหมันตฤดูนี้ การไม่จุดเตาไฟ ก็ชวนให้รู้สึกหนาวสะท้านตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมาจริง ๆ
เมื่อต้นเหมันตฤดู หรงจือจือได้สั่งให้คนเตรียมถ่านไฟจินซือชั้นดีนำมาส่งให้แล้ว นางถานมิเคยได้ต้องความหนาวเย็นแม้แต่เสี้ยวเดียว ทว่าบัดนี้เข้าฤดูหนาวเต็มตัวแล้ว กลับหยุดจุดถ่านไฟไล่ความหนาวเย็นกะทันหัน ไหนเลยจะทนไหว?
ไม่นานนัก นางถานหนาวเย็นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว ก็ถามขึ้นว่า “นางอกตัญญูคนนี้ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เหตุใดยังไม่เข้ามาคารวะยามเช้าอีก?”
สาวใช้ในเรือนครั้นออกไปสืบข่าวเรียบร้อยก็กลับมารายงานว่า : “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อตื่นแล้วเจ้าค่ะ คิดว่าประเดี๋ยวก็คงมาถึงเจ้าค่ะ!”
นางถานผงกศีรษะ กัดฟันทนความหนาวเย็นรอคอยต่อไป
ความหนาวเย็นทั้งหมดที่นางต้องทนรับไว้ในยามนี้ อีกไม่นานนางจะต้องให้นางหรงชดใช้คืนจนหมดสิ้น ให้นางหรงคุกเข่าบนพื้นดินกลางฤดูหนาวเสีย มันจะต้องหนาวเย็นยิ่งกว่าตนเองในยามนี้แน่!

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น