เข้าสู่ระบบผ่าน

โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น นิยาย บท 7

นางถานยังคงรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ

ก็ยังไม่เห็นคนของหรงจือจือ ขณะที่นางกำลังหมดความอดทนลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็รอจนกระทั่งสาวใช้กลับมารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ!”

นางถานที่ทนความหนาวเย็นมาเกือบครึ่งชั่วยามจนหน้าเขียวแล้ว ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “ว่าอย่างไรนะ?!”

แล้วสิ่งที่ตนเองอุตส่าห์เตรียมการไว้ตลอดทั้งเช้านี้ จะสูญเปล่าไปดื้อ ๆ หรือ? เรื่องนี้ทำให้นางถานยิ่งมีโทสะ

สิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือสิ่งที่เตรียมไว้มิได้ใช้ทรมานนางหรง แต่กลับทรมานตนเองแทน แล้วจะไม่ให้เดือดดาลได้อย่างไร?

หญิงชรารับใช้ที่วิ่งเต้นสืบข่าวมาเอ่ยว่า : “ได้ยินคนของหลันย่วนบอกว่า ฮูหยินซื่อจื่อเดินทางกลับเรือนมารดาแล้วเจ้าค่ะ!”

สาวใช้เฉินฟังมาถึงตรงนี้ ก็วิตกกังวลขึ้นมาทันใด “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อคงมิได้กลับเรือนมารดาไป เพื่อร้องเรียนต่อท่านมหาราชครูหรอกนะเจ้าคะ?”

นางถานฟังจบ ตอนแรกก็เครียดขึ้นมาทันที

แต่ทันใดนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นลงอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “หาใช่เรื่องใหญ่อันใด มหาราชครูหรงคร่ำครึหัวโบราณมาแต่ไหนแต่ไร นางกลับไปก็มีแต่จะถูกก่นด่า!”

“อีกอย่าง บัดนี้จื่อฟู่สร้างความดีความชอบสำเร็จแล้ว กำลังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ หากว่ามหาราชครูฉลาดจริง ก็ควรจะสนิทชิดเชื้อกับสกุลเราถึงจะถูก มีหรือจะเลือกยืนข้างหรงจือจือ?”

“จะต้อนรับบุตรีที่หย่าขาดสามีกลับเรือนสกุลหรงให้คนนินทา หรือจะรักใคร่ปรองดองกับบุตรเขยที่มีอนาคตไกล มหาราชครูหรงหรือจะเลือกไม่เป็น?”

สาวใช้เฉิน : “ฮูหยินพูดถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ!”

นางถาน : “ช่างเถิด ให้นางได้กลับเรือนไปตั้งสติก็สมควรแล้ว! มิเช่นนั้นก็ยังคิดว่าตนเอง คือคุณหนูใหญ่สกุลหรงผู้สูงส่งล้ำค่าคนนั้นเหมือนเดิม!”

“แต่งเข้าจวนซิ่นหยางโหวเรา ก็ควรจะรักษากฎระเบียบของจวนโหวเรา ช่างเถิด ไม่อยากพูดถึงแล้ว รีบจุดถ่านไฟเสียที ข้าหนาวจนจะแข็งตายอยู่แล้ว!”

……

หรงจือจือนั่งบนรถม้า หลับตาพักผ่อน

กลับมาถึงเรือนสกุลหรงแล้ว คนเฝ้าประตูก็ออกมาต้อนรับทันที

เพียงแต่สายตาของอีกฝ่ายที่มองหรงจือจือนั้น เจือด้วยความสงสาร หรงจือจือเข้าใจดี ว่าเรื่องที่วังหลวงเมื่อคืน คนทั้งเรือนย่อมทราบแล้วแน่

ก็สมควรแล้ว เรื่องใหญ่ขนาดนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีคนนำไปแจ้งแก่ท่านพ่อ

บ่าวรับใช้น้อมต้อนรับหรงจือจือเข้าไปด้านใน จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านอยู่ที่เรือนนายหญิงใหญ่ และขอให้คุณหนูใหญ่วางธุระอื่นใดของท่านไว้ก่อน และไปรอเขาที่ห้องโถงหลักขอรับ เขามีเรื่องต้องคุยกับคุณหนู”

หรงจือจือขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย

เหตุใดเวลานี้ท่านพ่อจึงอยู่ที่เรือนของท่านย่า? แล้วมีเรื่องอันใดหรือ จึงมิอาจคุยต่อหน้าท่านย่าได้? ท่านพ่ออ่อนน้อมเชื่อฟังและมีความกตัญญู หลายเรื่องยังต้องถามความเห็นจากท่านย่าด้วยเสมอ ซึ่งผู้อาวุโสอย่างนางก็มีบทบาทสำคัญในเรือนและถ้อยคำวาจาก็มีน้ำหนักมาตลอด

แต่ในเมื่อท่านพ่อมีคำสั่งเช่นนี้แล้ว หรงจือจือแม้รู้สึกประหลาดใจ ทว่านางก็ยังรออยู่ที่โถงหลักเหมือนเดิม

ไม่นานนัก ดรุณีน้อยนางหนึ่งซึ่งมีโฉมหน้าคล้ายหรงจือจืออยู่หลายส่วน ก็สืบเท้ายาวเดินเข้ามา “ตายแล้ว นี่พี่หญิงมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดวันนี้พี่หญิงจึงมีเวลาว่างกลับมาเจ้าคะ? หรือเพราะอยู่ที่เรือนสกุลฉีต่อไปไม่ไหวแล้ว?”

หรงจือจือมองนางด้วยความเงียบงัน มิได้เอ่ยวาจาใด

สิ่งที่หรงเจียวเจียวเกลียดที่สุดคือท่าทางนิ่งเฉยสงบเสงี่ยมเช่นนี้ของหรงจือจือ ตั้งแต่เล็กจนโต พี่หญิงกดตนเองไว้ทุกอย่าง แม้ทุกคนจะชมตนเองว่างามเพริศพริ้ง แต่เมื่อเป็นพี่หญิงกลับถูกสรรเสริญว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง

พอทุกคนออกปากชมว่าตนเองมีพรสวรรค์ แต่เมื่อเป็นพี่หญิงแล้วกลับถูกยกยอว่าเป็นสตรีผู้มีความสามารถเลิศล้ำอันดับหนึ่งในเมืองหลวง

และที่น่าโมโหที่สุด ก็คือตอนที่พี่หญิงแต่งกับเจ้าขี้โรคสกุลฉี เดิมคิดว่าอีกฝ่ายจะต้องกลายเป็นแม่หม้ายแน่แล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหรงจือจือจะสามารถช่วยชีวิตฉีจื่อฟู่คนนั้นกลับมาได้ มิหนำซ้ำยังได้รับการขนานนามว่าเป็นภรรยาคุณธรรมอันดับหนึ่งของเมืองหลวง

ฉะนั้น แม้การสมรสครั้งที่สองของพี่หญิงหลังหย่าขาดสามีกลับมาจะยากลำบากสักหน่อย ทว่าการได้เป็นฮูหยินโดยถูกต้องชอบธรรมนั้น สามารถคลายปัญหาของพี่หญิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ และจะไม่ส่งผลกระทบใดมาถึงการสมรสของตนเอง

หากว่าหรงจือจือปล่อยให้ไหร้าวแตกซ้ำอีกรอบ[footnoteRef:1] ออกไปคลุ้มคลั่งเสียสติด้านนอก และทำให้คนอื่นคิดว่านิสัยเดิมของดรุณีสกุลหรงน่ารังเกียจ เช่นนั้นพิธีสมรสของนางได้เป็นอันจบสิ้นจริง ๆ แน่ ทุกคนจะต้องคิดว่า ตนเองออกจากครรภ์มารดาเดียวกับพี่หญิง อุปนิสัยใจคอย่อมไม่แตกต่างกัน! [1: หมายถึง การทำเรื่องที่แย่อยู่แล้ว แย่ยิ่งขึ้นไปอีก]

ในขณะที่กำลังหงุดหงิดอยู่นั้น

ก็มีสตรีวัยกลางคนท่านหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก

หลังจากอีกฝ่ายเข้ามาแล้ว หรงจือจือก็ยืนขึ้นทันที ก่อนจะเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ “คารวะท่านแม่!”

คนที่มาคือมารดาผู้ให้กำเนิดหรงจือจือ นางหวังนายหญิงปัจจุบันของจวนมหาราชครู

นางหวังสืบเท้าเข้ามาหยุดเบื้องหน้าหรงจือจือ ก่อนจะยกมือขึ้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบหน้าหรงจือจือไปหนึ่งฉาดทันที!

เจาซีเบิกตาโพลง : “ฮูหยิน…”

หรงจือจือถูกตบจนหน้าหัน มุมปากได้กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ ดวงหน้าชาแปลบขึ้นมา ไม่ต้องส่องคันฉ่องก็รู้ว่า ต้องมีรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ประทับอยู่บนใบหน้าอย่างแน่นอน

นางกัดฟันแน่น ข่มความรู้สึกทั้งหมดไว้ และจ้องมองไปยังนางหวัง

นางหวังก่นด่าด้วยโทสะ “เมื่อครู่ข้ายังไม่เข้ามา ก็เห็นว่าเจ้าใช้วาจาโอหังอวดดี รังแกน้องหญิงของเจ้า! กฎระเบียบที่เจ้าร่ำเรียนมาเป็นปี คงไปอยู่ในท้องสุนัขหมดแล้ว!”

หรงเจียวเจียวรีบรุดเข้าไปทันที และดึงแขนของนางหวังไว้ ก่อนจะเอ่ยอย่างฉอเลาะว่า “ท่านแม่ พี่หญิงก็เหลือเกินจริง ๆ เจ้าค่ะ ข้าเพิ่งได้ฟังเรื่องในวังเมื่อคืน ก็คิดจะเข้ามาปลอบใจพี่หญิงสักหน่อย ไม่คิดเลยว่าพี่หญิงจะขู่ขวัญให้ข้าตกใจกลัว เคราะห์ดีที่ท่านแม่มาแล้ว ไม่เช่นนั้นข้าคงกลัวจนน้ำตาไหลแน่เจ้าค่ะ!”

เจาซีเอ่ยด้วยความโมโห “คุณหนูสาม เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าท่าน…”

นางหวังมองเจาซีอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้านายกำลังคุยกัน มีที่ให้บ่าวรับใช้อย่างเจ้าสอดปากเข้ามาพูดด้วยหรือ? ไปถึงจวนโหว คงจะโอ้อวดแสนยานุภาพอยู่ข้างกายนายหญิงของเจ้าอยู่ประจำกระมัง ถึงได้ทำให้นายหญิงของเจ้าเลอะเลือนเพียงนี้! ใครก็ได้ จับเจาซีนางบ่าวจอมโอหังคนนี้ ไปโบยให้ตายเสีย!”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น