วสินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากภาวนาให้พ่อตัวเองไม่ไร้หัวใจจนทอดทิ้งเขาลง ดังนั้นเขาจึงปั้นหน้าทำเป็นใจกล้าและกลับไปยังห้องรับรองส่วนตัว
“วสิน เมื่อไหร่พ่อแม่นายจะกลับมาจากทริปธุรกิจล่ะ ยังไงพวกเขาก็ต้องมาพบกับญาติฝั่งเจ้าสาวนะ” ภายในห้องนั้น ดิเรกถามขึ้นอีกครั้งว่าพ่อแม่ของวสินอยู่ที่ไหน
ถึงอย่างนั้น ตลอดการหมั้นของพวกเขา พ่อแม่ของเขาไม่เคยปรากฏตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งนี่มันเหมือนกับว่าพวกเขาไม่ใส่ใจดูแลลูกสาวของตระกูลทิพย์บดีเลย หัวใจของวิสินเต้นรัวขึ้นชั่วขณะ แต่เขาก็ปัดเรื่องเกี่ยวกับการกลับมาของพ่อแม่ของเขา
“วสิน ของหมั้นของตระกูลนายมาถึงหรือยังล่ะ”
“พ่อแม่คุณไม่พอใจฉันเหรอ” หนิงหนิงชักเริ่มใจร้อน เธอเลยเริ่มแสดงความไม่พอใจใส่วสิน
“เร็ว ๆ นี้แหละ เดี๋ยวก็มาแล้ว” วสินหัวเราะแต่คำพูดของเขาสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้เลย
ทันใดนั้นก็มีเสียงรถก็ดังมาจากด้านนอกของภัตตาคาร
หลังจากนั้นไม่นาน สมาชิกตระกูลทิพย์บดีคนหนึ่งก็รีบเข้าไปรายงานข่าวดี “พวกเขามาถึงแล้ว พวกเขามาถึงแล้ว ของหมั้นของหนิงหนิงมาถึงแล้ว”
“จริงเหรอ” ในตอนนั้นสมาชิกตระกูลทิพย์บดีก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป โดยเฉพาะหนิงหนิงและแม่ของเธอที่ต่างก็รู้สึกตื้นตันไปด้วยความสุข
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พิมมาเลยตามญาติ ๆ ของเธอออกไปดูของหมั้นด้วย
“หืม นี่เธอจะไปไหนน่ะ ถึงจะได้เห็นของหมั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะได้เป็นเจ้าของมันหรอกนะ” หนิงหนิงมองพิมมาอย่างอวดดี แล้วเดินออกไปกับสามีด้วยความตื่นเต้นเพื่อไปรับของหมั้นด้านนอก
พิมมาเงียบไปและก้มหน้าลงอย่างหมดหวัง
พอเป็นเรื่องการแต่งงาน พิมมาก็ขาดความมั่นใจอย่างไม่ต้องสงสัย เธอได้แต่งงานกับไอ้เศษขยะไร้ประโยชน์ และตอนนั้นเธอไม่ได้รับของหมั้นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
งานแต่งงานควรจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของผู้หญิง แต่สำหรับพิมมามันคือความอัปยศอดสู
“คุณลุง ฮ่า ๆ คุณลุง ในที่สุดก็มาถึงซะทีนะครับ”
“ฉันเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อ ฉันรู้ว่าเขาจะไม่ทิ้งฉันหรอก”
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนก้าวลงมาจากรถเบนซ์ วสินก็ดีใจมาก เขาดึงหนิงหนิงให้ตามมาและเดินไปทักทายลุงของเขา
“เร็วสิหนิงหนิง ทักทายลุงผมหน่อยสิ นอกเหนือจากพ่อของผมแล้ว ก็มีเขาเนี่ยแหละที่รักผมที่สุด”
“อืม ไม่จำเป็นหรอกน่ะ” ผู้ชายคนนั้นตอบรับอย่างเย็นชา เขาดูไม่มีความสุขเลย
การต้อนรับอันเย็นชาทำให้เธอไม่สบอารมณ์ ใบหน้าของหนิงหนิงซีดเผือดลงเล็กน้อย
“คุณลุง คุณลุงกำลังทำอะไรน่ะ นี่วันหมั้นของผมนะ” วสินถามอย่างโกรธ ๆ
ยศไม่สนใจหลานโง่เขลาของเขาและสั่งให้ลูกน้องเอาของหมั้นออกมา
“เอาไปสิ ของหมั้นนี้มาจากตระกูลชัชวาลแห่งเมืองหยุนโจว!”
ใบหน้าของยศไร้ความรู้สึก เขาวางกล่องลงตรงหน้าหนิงหนิงและจากนั้นเขาก็กลับไปทันทีโดยไม่รอให้สมาชิกตระกูลทิพย์บดีที่เหลือมาถึง
“ฮะ...”
“เขากลับไปแล้วเหรอ”
“โดยไม่พูดสักคำเนี่ยนะ” วรรณารู้สึกสับสนกับการกลับไปอย่างกะทันหันของเขา
วสินรู้สึกอับอายขายหน้ามาก เขาทำได้เพียงหาข้ออ้างว่าลุงของเขากำลังยุ่ง ๆ อยู่
“เอาล่ะ เราอย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลย เร็วเข้าสิวรรณา เปิดกล่องดูซิว่ามีอะไรอยู่ในนั้น ตระกูลของวสินส่งของหมั้นแบบไหนให้เรากัน”
“ตระกูลของวสินร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก ของหมั้นต้องมีค่ามากแน่ ๆ”
“อาจจะเป็นเงินเต็มกล่องก็ได้นะ”
“ว้าว กล่องนี้ใหญ่จัง เธอคิดว่าจะมีเงินอยู่ในนั้นเท่าไหร่น่ะ”
“วรรณา ฉันล่ะอิจฉาเธอจริงๆที่ได้ลูกเขยดี ๆ แบบนี้!”
สมาชิกตระกูลแต่ละคนต่างก็พูดคุยกันด้วยความอิจฉาและความอยากรู้อยากเห็น
ทั้งวรรณาและหนิงหนิงต่างก็มีสีหน้าชื่นชมยินดีที่ได้รับคำสรรเสริญเยินยอจากญาติพี่น้องราวกับว่ากำลังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของชีวิตอย่างไรอย่างนั้น
และหลังจากคาดเดาอยู่พักหนึ่ง หนิงหนิงก็เปิดกล่องออก
แต่ผิดคาดกับสิ่งที่พวกเขาหวัง เพราะข้างในกล่องไม่มีเงินอยู่เลย
“นี่มันอะไรกัน”
“มันเป็นสีดำหมดเลย แล้วฉันก็ได้กลิ่นหอมของใบชาด้วย”
“มันต้องเป็นของมีค่าที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนแน่ ๆ บางทีมันอาจจะมีค่ามากกว่าทองด้วยซ้ำ” วรรณาหัวเราะและคาดเดาไปด้วย
ภานุเดินเข้ามาคว้าของสิ่งนั้นขึ้นมาจำนวนหนึ่งแล้วยกขึ้นมาดม “มันคือใบชาครับ ถ้าผมเดาไม่ผิด มันคือชาหลงจิ่งจากเมืองซีหู มันเป็นชาเขียวชนิดหนึ่ง”
“ชาเขียวงั้นเหรอ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: อภิชาตลูกเขย