เธอลุกขึ้นไปดูที่จอกล้องหน้าประตู พอเห็นร่างๆหนึ่งปรากฏตัวอยู่บนหน้าจอเธอก็เม้มริมฝีปากแดงลง“ประธานนัทธี ดึกป่านนี้แล้ว มีธุระอะไรหรอคะ?”
“เมื่อกี้ผมพึ่งปรับปรุงห้องของผมไป คงเสียงดังรบกวนมาถึงคุณเลยใช่ไหม?”นัทธีรู้ว่าเธอกำลังดูที่หน้าจออยู่ก็เลยขยับไปทางขวาอีกก้าวหนึ่ง เพื่อที่ในกล้องจะได้เห็นเขาทั้งตัว
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ตอนนี้ไม่มีเสียงอะไรแล้ว”วารุณีมองเขาแล้วตอบออกไป
นัทธีเห็นว่าประตูยังคงปิดอยู่ เขารู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ได้คิดจะเปิดประตู แววตาเขาเศร้าลงนิดหน่อย“คุณเปิดประตูสิ ผมมีของบางอย่างให้คุณ”
“ของอะไรคะ?”วารุณีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ยังคงคิดว่าจะไม่เปิดประตู
นัทธีเม้มริมฝีปากบาง“เป็นของแสดงความขอโทษที่เมื่อกี้เสียงดังรบกวนคุณ”
ของแสดงความขอโทษงั้นหรอ?
วารุณีปรับมุมกล้องดูก็เห็นว่าในมือซ้ายมีถุงที่ถูกห่อมาอย่างประณีตอยู่ในมือเขา เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตะลึง“ไม่ต้องหรอกค่ะประธานนัทธี คุณมาขอโทษแล้ว เอาของขวัญกลับไปเถอะค่ะ ฉันจะนอนแล้ว ราตรีสวัสดิ์!”
พูดจบ เธอก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น
นัทธีที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูเห็นว่าไฟสีแดงในกล้องไม่กระพริบแล้ว เขารู้เลยทันทีว่าเธอปิดกล้องและเดินออกไปแล้ว ใบหน้าอันหล่อเหลานิ่งขรึมลงทันที
เธอยังคงรักษาคำพูดที่ว่าจะอยู่ให้ห่างไกลจากเขามากที่สุดไว้อย่างดี ถึงขนาดแม้แต่หน้าเขาเธอก็ไม่อยากเห็นแล้ว
นัทธีจ้องมองด้วยแววตาเศร้าสร้อยแล้วก็หันไปมองประตูที่ปิดสนิทซักพัก จากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้องตัวเอง
ป้าส้มที่กำลังถูพื้นอยู่เห็นเขาถือถุงกลับมาจึงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง“คุณผู้ชายไม่ได้ให้ของไปหรอคะ?”
“เธอไม่ยอมออกมาเจอผม”นัทธีเอาถุงวางลงบนโต๊ะชา แล้วตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ป้าส้มเดินไปดูที่หน้าประตูจากนั้นก็พูดปลอบขึ้น“ไม่เป็นไรนะคะ คุณผู้ชายย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว ยังไงก็ต้องมีโอกาสได้เจอกับเธอแน่ค่ะ”
นัทธีตอบอืมออกมาพร้อมกับคลายเนคไทออกแล้วเดินไปที่ห้อง
เขารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ไม่งั้นคงไม่กลับมาเร็วขนาดนี้หรอก อีกอย่างตอนนี้ทารีนาก็ถูกจับแล้ว เขาก็เลยไม่ต้องกังวลอะไร แถมยังตามจีบเธอได้แล้วด้วย
แต่ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือสำราญ เธอเคยถามว่าเขาชอบเธอรึเปล่า ตอนนั้นเขาไม่ได้ยอมรับออกไป ดังนั้นถ้าตอนนี้ไปสารภาพกับเธอตรงๆ เธอจะต้องไม่เชื่อแน่ เขาทำได้เพียงค่อยเข้าหาเธออย่างช้าๆ
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ทานอาหารเช้าแล้ว วารุณีกำลังจะพาเด็กทั้งสองเตรียมตัวออกไปข้างนอก
ขณะที่ออกไป เธอก็ชะเง้อดูประตูห้องฝั่งตรงข้ามก่อน พอเห็นว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เธอถึงได้ปิดประตูห้องตัวเองลงอย่างเงียบๆ จากนั้นก็ลากเด็กทั้งสองวิ่งเข้าไปในลิฟต์
ภายในลิฟต์ ไอริณถอนหายใจออกมา“หม่ามี๊ ทำไมพวกเราต้องวิ่งด้วย?”
อารัณก็มองไปที่วารุณี
วารุณีกระพริบตาปริบๆ พร้อมกับยิ้มตอบออกไป“ก็หม่ามี๊กลัวว่าลูกๆจะสายไง”
“แต่ว่านี่มันยังเช้าอยู่เลย”อารัณมองนาฬิกาของตัวเอง มันเผยให้เห็นว่าเธอกำลังโกหกอยู่ทันที
วารุณีมองไปทางอื่น“ถ้างั้นหม่ามี๊คงจะดูผิดเอง”
เธอพูดไม่ได้ว่าเธอไม่รู้ว่านัทธีออกไปรึยัง
เพราะถ้าเกิดว่ายังไม่ออกไป เขาอาจจะได้ยินเสียงปิดประตูของห้องเธอเข้า แล้วถ้าเธอไม่รีบวิ่งออกไปเร็วๆ แล้วเขาเปิดประตูออกมาจะทำยังไง?
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่มั่นใจของวารุณี อารัณก็เบ้ปากออกมา“หม่ามี๊กำลังโกหกอีกแล้ว”
“หม่ามี๊ พูดความจริงออกมาเลยนะ โกหกมันไม่ดี”ไอริณเอามือเท้าเอวไว้แล้วพูดเสริมออกมา
วารุณีก้มลงมาแตะจมูกของเด็กทั้งสอง“พอเลยทั้งคู่ เดี๋ยวนี้หัดสอนหม่ามี๊แล้วหรอ”
“หึ”เด็กทั้งสองเชิดหน้าขึ้นอย่างมีชัย
วารุณีรู้สึกทำตัวไม่ถูกจึงยื่นมือไปบีบแก้มพวกเขาอย่างอดไม่ได้
ติ้ง ลิฟต์มาถึงแล้ว
หลังจากที่ประตูเปิด วารุณีก็พาเด็กน้อยทั้งสองเดินออกจากลิฟต์แล้วตรงไปที่ลาดจอดรถ
เมื่อเดินมาถึงทางเข้าลานจอดรถ จู่ๆก็ได้ยินเสียงดังสนั่น มันเป็นเสียงรถชนกัน
วารุณีมองไม่เห็นว่ารถคันไหนชนกันและเธอก็ไม่อยากเห็นด้วย เธอเดินตรงไปที่จอดรถของตัวเอง พอเดินไปถึงภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็ทำให้เธอตะลึงตัวแข็งทื่อไปเลย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...