“ใช่ เขาคิดว่าเป็นฉันที่บอกร่องรอยของพ่อแม่เขาให้กับพ่อแม่ฉัน พ่อแม่ฉันเลยบอกคนพวกนั้น ไม่ว่าพวกเราจะอธิบายอย่างไร เขาก็ไม่เชื่อ”
ปาจรีย์เอามือปิดหน้าอย่างเจ็บปวด“ที่จริงตอนที่พ่อแม่เขาถูกฆ่า ฆาตกรเคยโทรหาพ่อแม่ฉัน อย่างไรก็ตามพอพ่อแม่ฉันไปก็สายไปเสียแล้ว ในที่นั้นเหลือแค่ศพของพ่อแม่เขา ไม่มีฆาตกร จากนั้นพงศกรก็กลับมา”
วารุณีกอดร่างที่สั่นของเธอไว้“ฉันพอจะเข้าใจแล้ว คนพวกนั้นที่ฆ่าพ่อแม่พงศกร จงใจเรียกพ่อแม่เธอไป เพื่ออยากให้พงศกรเข้าใจผิด ว่าพ่อแม่เธอทำร้ายพ่อแม่เขาตาย ให้พงศกรเกลียดพวกเธอ”
“ใช่ ตรงนี้ทุกคนต่างมองออก แต่มีเพียงพงศกรคนเดียวที่ถูกความเกลียดชังบังตา ไม่ยอมเชื่อ”ปาจรีย์ร้องไห้แล้วพูดออกมา
วารุณีตบหลังเธออย่างปลอบใจ“งั้นจากนั้นล่ะ พงศกรทำอย่างไร?”
“ต่อมาพงศกรอยู่ที่โรงพยาบาลประสาทสามปี”ปาจรีย์เช็ดน้ำตา“เพราะว่าตอนที่พงศกรเห็นศพของพ่อแม่เขา จิตใจและสติก็เกิดปัญหาขึ้นมา เกือบจะเป็นคนหลายบุคลิกภาพ ถึงแม้สุดท้ายจะแยกหลายบุคลิกไม่สำเร็จ แต่ก็มีข้อเสีย ก็คือถูกกระตุ้นไม่ได้ ถ้าได้รับการกระตุ้น นิสัยก็จะเปลี่ยนไปสุดขั้ว”
ได้ยินตรงนี้ วารุณีอดไม่ได้ที่จะนึกถึงสภาพที่เห็นพงศกรในจอภาพอินเตอร์คอมตอนนั้น บ้าคลั่งอย่างมากจริงๆ สุดขีดไปเลย
“ดังนั้นเพื่อควบคุมความไม่มั่นคงของจิตใจ หลังจากพงศกรออกมาจากโรงพยาบาลประสาทแล้ว จึงเรียนควบคู่ด้านประสาทและจิตวิทยา”ปาจรีย์ถอนหายใจยาวๆ
“ที่แท้การสะกดจิตของเขา ก็มาได้แบบนี้นี่เอง”วารุณีพยักหน้าเล็กน้อย สื่อว่าเข้าใจแล้ว ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจ กับอดีตของพงศกร
ส่วนปาจรีย์ก็โล่งอกเป็นอย่างมาก ที่พูดความลับพวกนี้ออกมา จากนั้นจึงฟุบหลับไปที่โต๊ะทำงาน
วารุณีมองเธอที่หลับอย่างเหนื่อยล้า ก็ถอนหายใจอย่างเจ็บปวด หลังจากหยิบเสื้อคลุมมาห่มให้เธอแล้ว ก็ออกไปเงียบๆ
ตอนหัวค่ำ วารุณีสวมชุดราตรีสีดำเข้ารูปขับรถไปที่โรงแรมเซ็นจูรี่ ร่วมนิทรรศการของพวกMr.Dylan
ตอนที่เธอไปถึง นิทรรศการก็มีคนมาไม่น้อยแล้ว ต่างเป็นดีไซเนอร์ที่ได้รับการเชิญ และผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัตถุที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง
วารุณีเข้าไป หลังจากทักทายกับดีไซเนอร์ที่รู้จักบางส่วนกับพวกผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัตถุแล้ว ก็เข้าไปเดินชมผลงานของพวกMr.Dylan
สไตล์การออกแบบของMr.Dylanเหมือนกับเธอมาก เธอคิดจะถ่ายผลงานไว้ แล้วกลับไปศึกษาดีๆ โดยเชื่อว่าจะต้องพัฒนาทักษะการออกแบบของตัวเองแน่
ตอนที่วารุณีถ่ายรูปอย่างสุดโต่งอยู่นั้น จู่ๆด้านข้างก็ปรากฏร่างหนึ่งขึ้นมา“มาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยนี้ หัวแม่มือของวารุณีสั่น กดชัตเตอร์ลงไปทันที จากนั้นภาพก็เบลอ
แต่ว่าเธอไม่สนใจ หลังจากลบรูปนี้แล้ว ก็วางโทรศัพท์ลง หันหน้าไปมองด้านข้าง เห็นใบหน้าหล่อเหลาแสนเย็นชานั้นของชายหนุ่ม ก็พูดอย่างตกใจ:“ประธานนัทธี คุณกลับมาแล้วเหรอ?”
นัทธีพยักหน้าเล็กน้อย“เพิ่งกลับมา ลงจากเครื่องก็มาเลย”
“แบบนี้เอง”วารุณีพยักหน้า
ตอนนี้เอง จู่ๆโทรศัพท์ในมือเธอก็ดังขึ้นมา
วารุณีเงยขึ้นมอง เห็นเป็นเบอร์ที่คนของบริษัทนักสืบโทรมา จึงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นยิ้มให้นัทธี“ขอโทษนะคะประธานนัทธี ฉันรับสายก่อน”
นัทธีสังเกตพฤติกรรมของเธอ รู้ว่าสายนี้จะต้องสำคัญมากแน่ จึงไม่พูดอะไร ทำท่าเชิญตามสบายไปให้
เพื่อไม่รับกวนผู้อื่นที่ชื่นชมผลงาน วารุณีจึงหยิบโทรศัพท์ค่อยๆเดินออกไป ไปตรงที่ที่มีคนน้อย แล้วจึงเอาโทรศัพท์ไปแนบหู“ฮัลโหล นักสืบธนดล ทางพิชญามีข่าวคราวไหมคะ?”
“ครับ ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้เป็นเวลาพักของคนไข้ในโรงพยาบาลประสาท ผมเห็นว่าทุกคนไปสวนดอกไม้หมดเลย มีแค่พิชญาคนเดียวที่ไม่ไป ดังนั้นจึงไปห้องของพิชญาเพื่อจะสืบดู จากนั้นพบว่าพิชญาไม่อยู่ห้อง”
“ไม่อยู่ห้อง?”วารุณีหรี่ตาลง น้ำเสียงสูงขึ้น“หมายความว่าไง?”
นัทธีที่อยู่ไม่ไกลสังเกตเธอตลอด เห็นสภาพจริงจังของเธอนี้ ริมฝีปากบางๆเม้มเข้า อดไม่ได้ที่จะเดินไป“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...