ใช่ สิ่งที่เธอถืออยู่ในมือ คือทะเบียนสมรสของเธอกับนัทธี
แม้เป็นเพียงกระดาษใบเดียว แต่พอได้ถือมันไว้ ก็ราวกับเป็นของที่มีน้ำหนักมหาศาล ทำให้เธอเหมือนกำลังอยู่ในความฝัน
นัทธีหันกลับมามองวารุณี “ใช่ คุณแต่งงานแล้ว”
วารุณีเงยหน้าขึ้น สีหน้าก็ยังคงมึนงงอยู่ “ฉัน......ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันอยู่เลย”
ฝัน ?
นัทธีเลิกคิ้วขึ้น
จากนั้น เขาก็ยื่นมือไป ออกแรงแล้วหยิกที่ใบหน้าของเธอ
วารุณีก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บ จากนั้นก็จ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ “คุณทำอะไรเนี่ย ?”
“ตอนนี้ยังคิดว่ามันเป็นความฝันอยู่ไหม ? ”นัทธีปล่อยมือ
วารุณีส่ายหัว“ ไม่แล้ว นี่เราแต่งงานกันจริงๆแล้ว เป็นสามีภรรยากันจริงๆแล้วใช่ไหม?”
เธอมองไปที่เขา
นัทธีตอบอืมกลับมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ดึงร่างเธอเข้ามาในอ้อมกอด “ใช่ครับคุณภรรยา ”
คำเรียกคุณภรรยานั้นทำเอาวารุณีถึงกับใบหน้าเห่อร้อน หัวใจก็เต้นแรงมากขึ้น จนเธอเองก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะตีไปที่แผ่นหลังของชายหนุ่ม“พอแล้ว ปล่อยได้แล้ว คนเขามองกันใหญ่แล้ว ”
แม้นัทธีจะไม่ได้สนใจว่าจะมีคนมองหรือไม่มอง แต่เขารู้ว่าเธอเป็นคนขี้อาย ดังนั้นก็ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้เธอ ปล่อยมือออกจากเธอ จากนั้นก็หยิบเอาทะเบียนสมรสจากมือของเธอมา
“ทำไมคะ?”วารุณีเบิกตากว้าง
นัทธีไม่ตอบ แต่กลับเอาทะเบียนสมรสของตัวเองออกมาด้วย แล้วนำมันมาไว้รวมกัน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วถ่ายรูปเอาไว้
หลังจากที่ถ่ายรูปเสร็จ เขาก็เอาทะเบียนสมรสเก็บเข้าไว้ด้วยกัน “ผมจะเก็บไว้เอง”
วารุณียกยิ้มอย่างจนใจ “ได้ค่ะ ให้คุณเก็บไว้”
นัทธีเก็บเอาทะเบียนสมรสเอาไว้ จากนั้นก็จูงมือเธอ แล้วเดินไปที่รถ
หลังจากที่ขึ้นมาบนรถ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หันไปหาวารุณีที่นั่งอยู่ตรงเบาะข้างคนขับแล้วพูดว่า“ ป้าส้มบอกว่า คืนนี้กลับไปจะมีเซอร์ไพรส์ให้พวกเราด้วย”
“เซอร์ไพรส์?”วารุณีก็ถึงกับแปลกใจ คาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้วจึงถามว่า“เซอร์ไพรส์อะไรคะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน กลับไปคืนนี้ก็รู้ ” นัทธีสตาร์ทรถ แล้วขับรถออกไป
วารุณีพยักหน้าให้ และก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก
ผ่านไปไม่นาน ก็มาถึงที่บริษัท
นัทธีจอดรถ“ตอนเย็นผมจะมารับคุณ ”
“ค่ะ”วารุณีปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วเตรียมที่จะลงจากรถ
แต่ก่อนที่จะลงไป จู่ๆเธอก็เกิดลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โน้มตัวไป จูบไปที่ใบหน้าของชายหนุ่ม “แล้วเจอกันนะ คุณสามี!”
คำว่าคุณสามีทำเอาหัวใจของนัทธีไหวสั่น รูม่านตาก็ถึงกับหดเกร็ง ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้สติ
หลังจากที่ได้สติ ลูกกระเดือกของนัทธีก็ขยับขึ้นลง เดิมทีอยากจะรั้งตัววารุณีเอาไว้ ให้เธอเรียกคำนี้ให้ฟังอีกสักครั้ง
แต่วารุณีก็ลงรถไปก่อนที่เขาจะได้สติ แล้ววิ่งเข้าไปยังในตึกของสำนักงาน
สุดจนใจ นัทธีทำได้เพียงวางมือลง สายตาที่ลุ่มลึกจ้องมองไปยังตึกของสำนักงานที่ตั้งอยู่ริมถนน
ไม่เป็นไร ตอนนี้ฟังไม่ได้ ตอนกลางคืนค่อยให้เธอพูดให้ฟังอีกครั้ง
เมื่อคิดได้อย่างนั้น นัทธีก็เลื่อนกระจกรถขึ้น แล้วขับรถออกไป
วารุณีเดินเข้าบริษัทไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ มีพนักงานเห็น ก็จึงยิ้มแล้วถามว่า“บอส หน้าแดงขนาดนี้ มีเรื่องอะไรดีๆใช่ไหมคะ ?”
วารุณียิ้มอย่างเขินอาย และไม่ได้ตอบกลับอะไร
เมื่อพนักงานเห็น ดวงตาก็เบิกกว้าง “ บอส มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นจริงๆเหรอคะ ?”
ทันทีที่คำนี้หลุดออกมา พนักงานและนักออกแบบคนอื่นๆ ต่างก็หันมองมาด้วยความอยากรู้ ถามวารุณีด้วยเสียงอันเซ็งแซ่ มีเรื่องดีๆอะไรกันแน่
วารุณีสู้เสียงพวกเขาไม่ได้ ก็จึงกระแอมไอออกมาเสียงเบา “พอก่อน เงียบลงก่อน ฉันบอกแล้ว แต่อย่าเอะอะเสียงดังกันไปนะ ”
“ได้ๆ”ทุกคนพากันพยักหน้า
ปาจรีย์เดินเข้ามาจากด้านนอกพร้อมเอกสารในมือ เห็นทุกคนต่างพากันมองไปที่วารุณี ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาด้วยเช่นกัน“ นี่พวกเรากำลังทำอะไรกัน ?”
มีคนพูดอธิบาย “คุณปาจรีย์ ทุกคนกำลังอยากรู้ข่าวดีของคุณวารุณีอยู่ค่ะ ”
“ข่าวดี?”ดวงตาของปาจรีย์เป็นประกาย “ฉันชอบฟังอะไรที่มันดีๆที่สุดเลย วารุณี มีข่าวดีอะไรเหรอ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...