“อีกคนเป็นใครนั้น ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนประธานวรวีจะเผยออกมาว่าเป็นโสรยา” ปาจรีย์ลูบคางพลางเอ่ยตอบ
“โสรยา ?” วารุณีหรี่ตาลง “คนที่ต้องการแข่งขันกับฉันนะหรือ ?”
“ใช่แล้ว เธอนั่นแหละ เธอกลับประเทศแล้ว อีกทั้งยังอยู่ที่จังหวัดจันทร์ด้วย มิหนำซ้ำยังซื้อออฟฟิศเก่าของพิชญาอีกด้วย” ปาจรีย์พยักหน้า
วารุณีขมวดคิ้ว “ซื้อออฟฟิศของพิชญา”
“ฉันก็เพิ่งได้ยินมาเมื่อไม่นานนี้เอง เพียงแต่ยังไม่เปิดกิจการ” ปาจรีย์กล่าว
วารุณีเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “ฉันรู้แล้ว การสัมภาษณ์จะมีขึ้นเมื่อไหร่ ?”
“เวลาบ่ายสองโมง สถานที่คือโรงแรมดิเอิร์ธ” ปาจรีย์ก้มมองนาฬิกา
วารุณีขานรับหนึ่งคำ “ได้ เธอค่อยบอกฉันเมื่อถึงเวลา ฉันขอตัวกลับห้องทำงานก่อน”
พูดจบ เธอก็หยิบเอกสารแล้วเดินตรงไปยังห้องทำงาน
ปาจรีย์มองดูเธอเดินจากไป และเอียงศีรษะด้วยความสงสัย “ทำไมรู้สึกว่าวารุณีดูไม่มีชีวิตชีวาเลยนะ ?”
ปาจรีย์ยังไหล่โดยไม่คิดอะไรมาก จากนั้นจึงทำงานของตนต่อไป
จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง เมื่อเธอเห็นว่าวารุณีไม่ออกมาทานอาหารจึงได้เข้าไปเรียก เธอเห็นวารุณีกำลังนั่งเหม่อลอย จึงแน่ใจว่าตอนเช้าเธอเข้าใจไม่ผิด
วารุณีดูไม่มีชีวิตชีวาจริง ๆ
“วารุณี” ปาจรีย์ตะโกนเรียกเธอหนึ่งครั้ง
ดวงตาของวารุณีสั่นไหว และเธอก็ตั้งสติขึ้นมาได้อีกครั้ง “ปาจรีย์ มีธุระอะไรหรือ ?”
“ฉันจะมีธุระอะไรได้ ก็จะมาเรียกเธอไปกินข้าวนะสิ นี่มันก็เที่ยงแล้ว เธอคงไม่ได้ลืมไปหรอกใช่ไหม ?” ปาจรีย์เดินเข้าไปหา
วารุณีมองดูเวลาตรงมุมด้านขวาของหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้ว เธอจึงตบหน้าผากไปหนึ่งครั้ง “ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่มีสมาธิจริง ๆ ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
พูดจบ เธอก็วางปากกาลงแล้วลุกขึ้น จากนั้นจึงลุกออกจากโต๊ะทำงานเพื่อเตรียมตัวเดินออกไป
แต่ยังเดินไปไม่ทันถึงสองก้าว เธอก็สะดุดเท้าของตัวเองจนเกือบล้มลง
โชคยังดีที่ปาจรีย์ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ จึงเข้าไปคว้าเธอไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นคงไม่ต้องคิดถึงสิ่งที่จะเกิดตามมา
“ขอบคุณนะปาจรีย์” วารุณียืนขึ้นอีกครั้ง แล้วกล่าวขอบคุณอย่างเขินอาย
ปาจรีย์จ้องมองเธอและขมวดคิ้ว “วารุณี เธอดูแปลกไปนะ เป็นอะไรหรือเปล่า ? เป็นแบบนี้มาสองวันแล้ว คงไม่ใช่เพราะเธอกับนัทธียังไม่คืนดีกันหรอกใช่ไหม ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ วารุณีก็หลับตาลงโดยไม่ตอบอะไร
ปาจรีย์จ้องตาเขม็ง “ยังไม่ได้คืนดีกันจริง ๆ หรือนี่ ? นี่มันกี่วันมาแล้ว อย่าบอกนะว่า พวกเธอทำสงครามเย็นกันมาตลอด”
วารุณีถอนหายใจด้วยความอ่อนล้า “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันอยากจะพูดคุยกับเขาหลายครั้ง หวังว่าเขาจะยอมพูดออกมาว่าฉันทำอะไรผิดกันแน่ แต่เขากลับไม่พูดอะไรเลย และไม่ยอมที่จะพูดคุยกับฉันด้วย”
“ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ !” ปาจรีย์กล่าวด้วยความโมโห
วารุณีหลับตาลง พยายามข่มความหดหู่และเจ็บปวดภายในจิตใจ “ปาจรีย์ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้อีกนานสักแค่ไหน”
“วารุณี เธอหมายความว่าอย่างไร เธอคงไม่คิดจะหย่ากับนัทธีหรอกใช่ไหม ?” ปาจรีย์ตกใจจนอ้าปากค้าง
วารุณีกัดริมฝีปาก “เปล่า แต่ถ้าหากพวกเรายังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่แน่ว่าอาจจะมีวันนั้นจริง ๆ ก็ได้ เมื่อวาน อารัณถึงขั้นถามฉันว่ายังอยากใช้ชีวิตร่วมกับนัทธีอีกหรือไม่ ถ้าหากไม่ยินดี ก็ให้ย้ายกลับไปอยู่ที่อพาร์ทเมนต์เดิมกัน แต่เป็นเพราะความรู้สึกที่มีต่อนัทธีจนยากที่จะตัดใจ ทำให้ฉันตัดสิยนใจที่จะอยู่ต่อในที่สุด”
“ก็แน่ล่ะ พวกเธอเพิ่งจะแต่งงานกันไม่นานนี้เอง” ปาจรีย์พยักหน้า
วารุณียิ้มมุมปากด้วยความขมขื่น “แต่ฉันเป็นห่วงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะเป็นการทำร้ายลูกทั้งสองคน ตอนนี้นัทธีเย็นชากับลูกทั้งสองคนมาก เมื่อคืนนวิยาถึงขนาดกล้าต่อว่าด่าทอลูก ๆ ทั้งสอง แต่นัทธีกลับไม่จัดการอะไรกับนวิยาเลยสักนิด
“อะไรนะ !” ปาจรีย์ตบโต๊ะด้วยความโมโห “ยัยนวินานั่นกล้าต่อว่าลูก ๆ บุญธรรมของฉันอย่างนั้นหรือ ช่างน่าโมโหจริง ๆ ฉันอยากจะฉีกปากของเธอนัก นัทธีก็อีกคน เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ถึงไม่คิดที่จะปกป้องเด็ก ๆ เลยสักนิด นั่นคือลูกแท้ ๆ ของเขานะ ไม่สิ เธอยังไม่ได้บอกนัทธีนี่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...