ไม่น่าแปลกใจเลยที่นัทธีจะปฏิบัติกับหล่อนเช่นนี้
ไม่แน่เขาอาจคิดว่าการตายของพ่อแม่เขาจะต้องเกี่ยวข้องกับแม่ของหล่อน
แต่เนื่องจากแม่หล่อนได้เสียไปแล้วนั่นจึงทำให้เขาไม่สามารถหาใครมาทำให้มันชัดเจนได้ ดังนั้นเขาจึงปฏิบัติมากับหล่อนเช่นนี้
“วารุณี ฉันรู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่ เราจะต้องทำมันให้เคลียร์และชัดเจน” ปาจรีย์พูดพร้อมกับมองไปที่วารุณีอย่างจริงจัง
วารุณีหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับทำตัวให้สงบลงอย่างไม่เต็มใจนัก “ฉันรู้ ต่อให้เธอไม่บอกฉันก็ต้องทำมันให้ชัดเจนและอธิบายให้นัทธีฟัง ฉันไม่เชื่อว่าแม่ของฉันจะเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อแม่นัทธีหรอกนะ”
“ดีแล้ว งั้นเราไปจ้างนักสืบเอกชนให้มาสืบหาข้อมูลกันเถอะ เรื่องนี้ก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้วคงต้องใช้เวลานานในการสืบหา” ปาจรีย์พูด
วารุณีบีบฝ่ามือ “ไม่เป็นไร นานแค่ไหนฉันก็รอได้ ฉันจะไปหานักสืบตอนนี้เลย!”
เมื่อพูดจบ หล่อนก็ได้หยิบกระเป๋าและออกจากบริษัทไป
ปาจรีย์ยื่นมือออกมาเพื่อพยายามหยุดหล่อน
แต่ร่างของวารุณีนั้นหายลับไปแล้ว
ปาจรีย์ไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องวางมือพร้อมกับมองไปที่ผังภาพที่อยู่บนโต๊ะด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
“จะไปก็ควรบอกฉันหน่อยสิว่ารูปวาดที่ออกแบบอันดีอันไหนที่ต้องแก้ ฉันจะต้องเอามันไปลงทะเบียนนะ”
หลังจากที่วารุณีออกจากบริษัท หล่อนก็ได้ขับรถออกไปที่สำนักงานนักสืบที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดจันทร์และจ่ายเงินมัดจำห้าแสนหยวนเพื่อที่จะให้มาสืบสวนเรื่องนี้
เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จ ใจของวารุณีก็ค่อยๆรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
ตอนนี้ทำได้แค่รอผลที่จะออกมา
แต่ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่วารุณีต้องไปทำ นั่นก็คือการทดสอบความเป็นพ่อลูกระหว่างนัทธีกับเด็กทั้งสองคน
หล่อนไม่เชื่อว่าเด็กสองคนนั้นจะไม่ใช่ลูกของนัทธี
หลังจากออกมาจากสำนักงานนักสืบมา วารุณีก็ได้เงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้าและพบว่ามันมืดครึ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าฝนจะตกลงมาในไม่ช้า
วารุณีห่มเสื้อคลุมเอาไว้บนตัวจากนั้นก็ไปที่ลานจอดรถเพื่อออกไปรับลูกทั้งสองคน
ทันใดนั้นก็มีร่างร่างหนึ่งวิ่งผ่านไป
วารุณีรู้สึกเจ็บที่ไหล่จากนั้นกระเป๋าสะพายบนไหล่ของหล่อนก็ถูกคนคนนั้นชิงไปเสียแล้ว
ดวงตาของวารุณีเบิกกว้าง ตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและได้วิ่งไล่ตามชายคนนั้น ขณะที่วิ่งก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “เรียกคนมาจับไอ้หัวขโมยนี่ที!”
คนบนถนนเมื่อได้ยินว่าให้จับหัวขโมยต่างก็หยุดลงเพื่อมองดูเรื่องที่น่าครึกครื้นตื่นตานี้ ไร้ซึ่งการช่วยเหลือใดๆ
เมื่อวารุณีเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังแต่ก็ไม่ได้สนใจพร้อมกับตะโกนและวิ่งไล่ต่อไป
หล่อนเชื่อว่าจะต้องมีคนที่ดีและมีน้ำใจอยู่บ้าง
อย่างที่คาดไว้ ขณะที่วารุณีไล่ตามหัวขโมยอย่างไม่หยุดหย่อนก็ได้มีคนเข้ามาช่วยจับหัวขโมยจริงๆ
ชายคนนั้นวิ่งเร็วมากจนสามารถจับหัวขโมยเอาไว้ได้ทัน หลังจากตะลุมบอนต่อสู้กับหัวขโมยไปสักพัก เขาก็คว้าเอากระเป๋ามาได้
หัวขโมยได้เอามือบังท้องเอาไว้พร้อมกับด่ากราดและวิ่งหายเข้าไปในฝูงชน
วารุณีวิ่งหอบมาที่ด้านข้างของชายที่ช่วยตนเอากระเป๋าคืนมาได้ มือทั้งสองข้างวางบนเข่าพร้อมกับหายเฮือกใหญ่
ชายคนนั้นนำกระเป๋ามาไว้ที่ด้านหน้าของหล่อน “คุณครับ กระเป๋าของคุณ”
วารุณีพักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะผ่อนลมหายใจลงและยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ “ขอบคุณค่ะ”
หล่อนหยิบกระเป๋ามา
ชายคนนั้นโบกมือ “ไม่เป็นไรไม่เป็นไรครับ ยินดีที่ได้ช่วยเลย ลองดูซิว่ามีของอะไรหายไปไหม”
“ค่ะ” วารุณีเปิดกระเป๋าดูจากนั้นก็เริ่มเช็กของ โทรศัพท์มือถือ หลักฐาน เครื่องสำอางรวมถึงผมของนัทธีก็ยังอยู่
วารุณีถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมกับปิดกระเป๋าลงด้วยความพอใจ “ไม่มีค่ะ ไม่ได้มีอะไรหาย ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉันต้องไปรับลูกล่ะก็ฉันคงเลี้ยงข้าวคุณแล้ว แต่ว่าตอนนี้เวลาก็ไม่ทันแล้ว ฉันขอให้เงินคุณเป็นรางวัลค่าตอบแทนก็แล้วกันนะคะ”
เมื่อพูดจบหล่อนก็ได้หยิบเงินห้าร้อยหยวนให้
ชายคนนั้นโบกมือไปมาพร้อมกับบอกว่าตนไม่ได้ใช้หรอก
แต่วารุณีเองก็ไม่ได้ต้องการที่จะเป็นหนี้บุญคุณใคร หล่อนจึงยัดเงินลงไปพร้อมกับจากไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...