พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ นิยาย บท 814

“วางใจเถอะ เขาหาปาจรีย์ไม่เจอแน่ ฉันกับนัทธี ก็ไม่ปล่อยให้เขาหาเจอหรอก”วารุณีวางตะเกียบลงแล้วพูด“ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันคุยเรื่องนี้กับปาจรีย์ไปแล้ว เธอบอกว่าเธอไม่อยากจะรับรู้อะไรเกี่ยวกับพงศกร และไม่อยากจะเจอเขาอีก ขอแค่ปาจรีย์ไม่อยากจะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับพงศกรอีก งั้นเธอก็จะไม่ตกหลุมรักพงศกรอีกเป็นอันขาด”

ว่ากันว่าการตกหลุมรักใครสักคนนั้น เริ่มต้นจากความอยากรู้อยากเห็น

ปาจรีย์ในตอนนี้ลืมพงศกรแล้ว แต่ปาจรีย์รู้ตัวดีว่าตัวเองเคยรักพงศกร และรักมาก ดังนั้นปาจรีย์ในแบบนี้ ก็ย่อมต้องอยากรู้เรื่องของพงศกรมากที่สุด

แต่ในขณะเดียวกัน ปาจรีย์ก็รู้ตัวเองดีว่าเคยรักพงศกร และความรักนั้นก็เจ็บปวด ดังนั้นก็จะพยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้อยากรู้เรื่องราวของพงศกร

หรือจะเรียกว่า กึ่งปลอดภัย และกึ่งอันตราย

มันขึ้นอยู่กับว่าปาจรีย์จะหักห้ามตัวเองได้ไหม กับความอยากรู้อยากเห็นเรื่องของพงศกร หากหักห้ามตัวเองได้ งั้นปาจรีย์ก็จะไม่ตกหลุมรักเขาอีก แต่ถ้าหักห้ามตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างก็จะสูญเปล่า แล้วย้อนกลับไปยังจุดเดิม

หวังแค่ปาจรีย์จะเป็นอย่างที่ตัวเองพูด ว่าจะไม่คิดถึงพงศกร และไม่อยากรับรู้อะไรเกี่ยวกับพงศกรอีก

“ถ้าเธอทำได้อย่างที่พูด มันก็คงไม่มีปัญหา กลัวแต่เธอจะทำอย่างที่พูดไม่ได้ ”ลีน่าพูดพร้อมกับกางมือออก

วารุณียกยิ้ม“อันที่จริงฉันเองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน แต่กังวลไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ปาจรีย์ไม่อยู่ตรงนี้ ฉันก็ดูแลเขาไม่ได้ ทุกอย่างก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเขาแล้ว แต่เชื่อใจเขาเถอะ ”

“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น” ลีน่าพยักหน้า

จากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก และพูดคุยกันเรื่องอื่นแทน

หลังรับประทานกันเสร็จ ทั้งสองก็ออกจากห้องอาหาร แล้วไปทำงานกันต่อในห้องหนังสือ

นี่กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของพวกเขาไปแล้ว เพราะในฐานะผู้ตัดสิน มีงานมากมายก่ายกอง ไม่สามารถจะทำให้เสร็จในระหว่างวันได้

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้ตัดสิน แต่ยังเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาด้วย ก็จึงต้องคอยให้คำแนะนำกับผู้เข้าแข่งขันภายใต้การดูแล และยังต้องคอยชี้แนะแนวทางในการปรับเปลี่ยนต่างๆให้ออกมาดีที่สุด

และสิ่งเหล่านี้ ก็จึงไม่สามารถทำมันให้เสร็จในช่วงของการแข่งขันได้ ดังนั้น ในตอนค่ำเมื่อพวกเขากลับมา ก็จึงต้องมาสานต่อให้เสร็จ

งานที่ทำ กินเวลาไปหลายชั่วโมง

กว่างานจะเสร็จ ก็ปาเข้าไปเกือบห้าทุ่มกว่าแล้ว

วารุณีวางดินสอในมือลง บิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็ขยับเอวที่เมื่อยขบของตัวเองไปมา

ลีน่าเองก็เช่นเดียวกัน พลางขยับหมุนคอ และข้อมือไปมา หัวเราะอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเป็นผู้ตัดสินและอาจารย์ที่ปรึกษา มันจะเหนื่อยมากขนาดนี้ ”

เดิมทีเธอคิดว่าการเป็นกรรมการผู้ตัดสินนั้น ก็แค่นั่งประจำอยู่กับที่ ถือไมโครโฟน และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนว่าดีหรือไม่ดียังไง

ไม่คิดว่า เธอไม่เพียงต้องแสดงความคิดเห็น แล้วยังต้องช่วยผู้เข้าแข่งขันแก้ไขด้วย

เมื่อเห็นใบหน้าที่เหนื่อยล้าของลีน่า วารุณีก็หัวเราะ จากนั้นก็เอากาแฟมาให้เธอแก้วหนึ่ง “ก็ใช่นะสิ เป็นกรรมการนั้นเหนื่อยมาก แต่ก็ยังมีฉันอยู่ด้วยทั้งคนนี่นา ดื่มกาแฟสักแก้วเพื่อเติมความสดชื่นแล้วกัน”

ลีน่ารับกาแฟมา“ก็เพราะมีเธออยู่ด้วยนี่ไง ฉันจึงยังอดทนอยู่ได้จนป่านนี้ ไม่งั้นฉันคงนอนสลบไปนานแล้ว”

เธอเป็นคนทำอะไรตามใจตัวเอง หากทนไม่ไหว เธอก็จะนอนเลย ไม่มาทรมานตัวเองแบบนี้

หากมีคนอื่นอยู่ด้วย และคนคนนั้นก็เพียบพร้อมเหมือนตัวเอง เธอก็จะไม่ทำอะไรแบบนี้ อีกทั้งยังจะทำตัวเองให้สดชื่น แล้วร่วมทำงานกับอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ

นอกจากจะเป็นการเคารพอีกฝ่ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอไม่อยากจะแพ้ให้อีกฝ่าย

“เธอนี่มันจริงๆเลย”วารุณีรู้ดีว่าลีน่าเป็นคนยังไง และย่อมต้องรู้ว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้น ส่ายหัวให้อย่างจนใจ “เอาล่ะ หัวหมุนกันมาพอแล้ว ง่วงแล้วด้วย เราแยกย้ายกันไปอาบน้ำนอนกันเถอะ ”

“ได้”ลีน่ามองดูนาฬิกา อ้าปากหาวแล้วตอบกลับ

ทั้งสองดื่มกาแฟในแก้วจนหมด ก็ปิดไฟในห้องหนังสือ แล้วแยกย้ายกลับไปที่ห้องของตัวเอง

อีกด้านหนึ่ง ที่ประเทศอเมริกา

เวลาในตอนนี้ของประเทศอเมริกาเป็นเวลาบ่ายสามโมง

นิรุตติ์เอนกายพิงอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด ก้มหน้าลงเล็กน้อย ในมือคีบบุหรี่ที่ติดไฟอยู่

ควันบุหรี่ตลบอบอวล ปกคลุมไปทั่วทั้งใบหน้า ทำให้สีหน้าของเขามัวหมอง และมองเห็นท่าทีได้ไม่ชัดเจน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ