“เรื่องของฉัน ยังไม่ถึงตานายมาพูด” สีหน้าของพงศกรเย็นชามา
ไม่พูดก่อนว่า เขาไม่ได้มีความหมายที่จะคลายปมการสะกดจิตเพราะอยากจะแก้แค้น
ถึงแม้ว่าใช่แล้วทำไม?
ถึงตาที่คนอื่นมาสั่งสอนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
นัทธีพูดอย่างดูถูก “ถูก ตามหลักแล้วยังไม่ถึงตาฉันมาพูด แต่ว่าเช่นเดียวกัน สิ่งที่นายอยากรู้ พวกเราก็สามารถไม่บอกนายได้ นายค่อยๆ สืบเองเถอะ”
พูดจบ เขาก็วางสายลง
เขาคาดเดาไว้ตั้งนานแล้วว่าจะมีวันนี้ พงศกรจะต้องตามหาคุณหมอที่ทำการสะกดจิตให้ปาจรีย์ คลายปมสะกดจิตของปาจรีย์ออก แล้วแก้แค้นปาจรีย์
ดังนั้นในก่อนหน้านี้ เขาก็ได้ย้ายคุณหมอท่านนั้นไปแล้ว
พงศกร ไม่มีทางตามหาเจอแน่นอน
“ที่รัก เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” วารุณีเห็นนัทธีวางโทรศัพท์ลง ก็รีบตามถาม “พงศกรอยากจะคลายปมการสะกดจิตของปาจรีย์จริงๆ เหรอ?”
นัทธีพยักหน้า “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ไม่เช่นนั้นคงไม่โทรมาถามเธอเป็นพิเศษว่าหมอสะกดจิตเป็นใคร”
วารุณีขมวดคิ้วแน่น “ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้เนี่ย”
“สำหรับคนคนหนึ่งที่จมปลักอยู่ในความแค้นไม่สามารถเดินออกมาได้ จะทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่แปลก” นัทธีจับมือของเธอ แล้วพูดปลอบด้วยเสียงเบา
วารุณีกัดริมฝีปาก “ตอนแรกฉันคิดว่า ช่วงเวลานี้พงศกรไม่ได้ต่อต้านตระกูลจิรดำรงค์และปาจรีย์ ถือว่ายอมรับความจริงที่เขาชอบปาจรีย์แล้ว จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยวางความแค้นที่มีต่อตระกูลจิรดำรงค์ลง แต่ว่าตอนนี้......”
คำพูดข้างหลัง เธอไม่ได้พูด ความหมายต่างก็เข้าใจ
นัทธีหรี่ตา “รอให้การแข่งขันของเธอจบแล้ว เราไปบ้านจิรดำรงค์กันเถอะ”
“ห๊ะ?” วารุณีตะลึงงัน “ที่รัก ความหมายของนายคือ ไปบ้านจิรดำรงค์?”
“อื้ม” นัทธีพยักหน้า “ตระกูลจิรดำรงค์และพงศกรเกิดความขัดแย้งกัน ที่ไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้มาโดยตลอด นอกจากเหตุผลที่ตัวพงศกรไม่สามารถเดินออกมาได้ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือระหว่างพวกเขาไม่มีคนกลางมาปรับความเข้าใจให้ ดังนั้นจึงได้แข็งทื่ออยู่แบบนี้ การไปครั้งนี้ พวกเราเป็นผู้เจรจา อาจจะปรับความข้องใจของพวกเขากันได้ การหนีไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด ห้ามคิดแต่จะช่วยบ้านจิรดำรงค์หนีจากพงศกร”
วารุณีเงียบไปเลย ผ่านไปสักพัก จึงจะพยักหน้า “นายพูดถูก ได้ หลังจากการแข่งขัน พวกเราไปกันเถอะ”
“คุณพ่อหม่ามี๊ พวกเราจะไปหาแม่บุญธรรมเหรอครับ?” ขณะนี้ ไม่รู้ว่าอารัณวางช้อนลงตั้งแต่เมื่อไหร่ มองดูสองสามีภรรยาแล้วพูด
วารุณียิ้มแล้วขยี้ศีรษะของเขา “ใช่แล้ว”
“ดีที่สุดเลยค่ะ” เด็กทั้งสองปรบมืออย่างดีใจ “พวกเราไม่ได้เจอแม่บุญธรรมนานมากแล้ว คิดถึงท่านแล้วค่ะ”
“แล้วคิดถึงพ่อบุญธรรมไหม?” วารุณีถาม
อย่างไรก็ตาม พงศกรก็เป็นพ่อบุญธรรมที่ถูกต้องตามหลักของเด็กทั้งสอง แบบที่บูชาด้วยน้ำชาแล้ว
ตอนนั้นเด็กทั้งสองเกือบจะเสียชีวิตไปพร้อมกับเธอแล้ว พงศกรออกมือช่วยไว้ได้ทัน ช่วยพวกเขาสามแม่ลูกไว้ เขาเป็นผู้มีพระคุณต่อพวกเขาสามแม่ลูก
และในตอนนั้น คุณแม่ค่อนข้างที่จะเชื่อในการดูดวง ดังนั้นในตอนที่เด็กทั้งสองอายุสองขวบ ก็ได้ไหว้พงศกรเป็นพ่อบุญธรรม
พ่อบุญธรรมแบบนี้ ไม่ใช่การที่เรียกแค่พ่อบุญธรรม แต่ว่าได้บูชาด้วยน้ำชา ได้ไหว้ทำพิธี และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต
เพราะคุณแม่คิดว่า พงศกรช่วยเด็กทั้งสองไว้ คือเทพคุ้มครองของเด็กทั้งสอง มีพงศกงมาปกป้องคุ้มครอง เด็กทั้งสองก็จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแรงและปลอดภัย
ดังนั้น ไม่ว่าพงศกรจะเป็นเช่นไร เรื่องที่เขาเป็นพ่อบุญธรรมของเด็กทั้งสอง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ได้ยินคำถามของวารุณีแล้ว อารัณและไอริณก็เงียบลงทันที ไม่ได้มีความเซอร์ไพรส์เหมือนก่อนหน้านี้ที่จะไปเจอปาจรีย์เลย
วารุณีสบตากับนัทธี
นัทธีเอ่ยปากพูด “พวกหนูสองคนเป็นอะไร?”
“หม่ามี๊ พวกเราไปหาแม่บุญธรรม ก็จะเจอพ่อบุญธรรมเหรอครับ?” อารัณถาม
ถึงแม้ไอริณจะไม่ได้เอ่ยปากพูด ทว่าก็จ้องผู้ใหญ่ทั้งสอง ชัดเจนเลยว่าอยากจะรู้คำตอบนี้
วารุณีพยักหน้าเล็กน้อย “แน่นอน อย่างไรก็ตามพ่อบุญธรรมและแม่บุญธรรมก็อยู่ที่นั่น พวกหนูอยากเจอแม่บุญธรรม ก็จะได้เจอกับพ่อบุญธรรมอยู่แล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ
อ่านจบครบทุกตอนแล้วค่ะ สนุกมากค่ะเนื้อเรื่องน่าติดตาม ติดงอมแงมเลย นางเอกฉลาดทันคนดีค่ะ ขอติอย่างเดียวคือ พิมพ์ผิดเยอะมากทำให้เสียอรรถรสใน การอ่าน เป็นกำลังใจให้นักเขียนนะคะ🫶🏻...
แล้วกโอ้เอ คุยยืดยาดอยู่นั่น หนีสิคะ ไปหาตำรวจก่อน แจ้งว่ามีสตอคเกอร์ ขอความคุ้มครองจากตำรวจ รอนัทธีส่งคนไปรับ...
นางเอกโง่มาก มีคนชั่วอยู่ในบ้าน ก็ต้องรีบกำจัดสิ เก็บไว้ให้มันทำร้ายตัวเองกับลูกเหรอ น่าจะรีบบเอาวีดีโอให้สามีดูแล้วแจ้งตำรวจ...