หนานกงเยว่หลีเห็นท่าทางมุ่งมั่นของมารดาของตนเอง ก็ต้องทั้งปวดศีรษะทั้งพูดไม่ออก นี่มันเวลาไหนแล้ว เหตุใดถึงยังมองสถานการณ์ไม่ออกอีก แถมยังกัดไม่ปล่อย ไม่ควรคิดหาวิธีลบล้างข้อสงสัยแล้วออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยหรอกเหรอ?
เฟิ่งชิงหิวมองไปทางฮูหยินเฉิงเซี่ยงด้วยรอยยิ้ม: “ฮูหยินมีญาณรับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริง ๆ ไม่นึกเลยว่าจะคาดเดาความต้องการของข้าออกอย่างง่ายดายเช่นนี้”
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงส่งสายตาแห่งความได้ใจให้กับหนานกงเยว่หลี: “เห็นหรือไม่ข้าบอกว่าอย่างไร นางไม่ใช่พระโพธิสัตว์เสียหน่อย หากไม่ใช่เพื่อตนเอง นางจะหวังดีเช่นนี้ได้อย่างไร?”
กล่าวไป ฮูหยินเฉิงเซี่ยงได้มองไปที่เฟิ่งชิงหัวอีกครั้ง: “เช่นนั้นยังจะชักช้าอยู่อีกทำไม ยังไม่รีบโขลกศีรษะให้ข้าอีก? เมื่อครู่ข้าจะถือว่าเจ้าเพียงอวดศักดิ์ศรี แต่หากเจ้ายังปฏิเสธอีก เช่นนั้นข้าคงต้องเปลี่ยนใจเป็นแน่”
คราวนี้เฟิ่งชิงหัวคร้านแม้แต่จะใส่ใจ ปล่อยให้ฮูหยินเฉิงเซี่ยงพูดคนเดียวอย่างนั้นด้วยความประหม่า
แม้แต่หนานกงเยว่หลีเองยังรู้สึกประหม่าแทนนาง
“ท่านแม่ อย่าได้พูดอีกเลย คำพูดของท่าน แม้แต่ข้าเองยังไม่เชื่อ แล้วน้องรองจะเชื่อได้อย่างไร?” หนานกงเยว่หลีกล่าวอย่างจนใจ
ฮูหยินเฉิงเซี่ยงเห็นเฟิ่งชิงหัวไม่ไหวติงเลยจริง ๆ จึงได้ก่นด่าขึ้นมา คำพูดไม่น่าฟังจนถึงขีดสุด
ไม่นานนัก เสียงคนเดินก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านนอกคุก ไม้ท่อนหนึ่งทุบเสาไม้ของคุกมาตลอดทาง ต่อว่าขึ้นมาอย่างน่าเกรงขาม: “ผู้ใดส่งเสียงโวยวายเช่นนี้ ที่นี่คือคุกหลวง มิใช่ตลาดสด ผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวายอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดลิ้มมันเสีย”
เมื่อฮูหยินเฉิงเซี่ยงได้ยินก็เงียบไปทันที ไม่กล้าบุ่มบ่ามอีก เสียงในห้องขังห้องอื่นเองก็เบาลงเช่นเดียวกัน
ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงเดินที่ด้านนอกก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงของขุนนางที่อยู่ด้านนอกได้ดังขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้กลับประจบนอบน้อมเป็นพิเศษ: “เรื่องแบบนี้ท่านแค่สั่งมาก็ได้แล้ว ไม่ต้องลำบากใต้เท้ามาเองหรอกขอรับ”
“อย่าพูดมาก รีบพาข้าไปพบเร็วเข้า"
ไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็ได้มาถึงห้องขังที่เฟิ่งชิงหัวอยู่
เมื่อคนที่อยู่ในคุกได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัว จิตใต้สำนึกได้สั่งให้พวกเขาขยับไปรวมตัวกันที่จุดอับด้านใน แทบอยากจะเอาตัวผสานเข้าไปในกำแพงเพื่อลดการมีตัวตนการมีตัวตนอยู่ แม้แต่หนานกงเยว่หลีและฮูหยินเฉิงเซี่ยงเองวินาทีนี้ยังไม่สนว่าอัดกันอยู่กับพวกคนใช้จะเหมาะหรือไม่ ตัวแนบชิดกับผนังที่สกปรกจะน่ารังเกียจหรือไม่
สองตาของทุกคนต่างมองไปที่หน้าประตูด้วยความหวาดผวา เห็นพวกเขากำลังจะเอากุญแจออกมาเพื่อเปิดประตู ก็แทบจะกรีดร้องออกมา
เฟิ่งชิงหัวกำลังพิงอยู่ที่เสาไม้ เห็นพวกเขาไขกุญแจ ก็เลิกคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้: “ทำไม เร็วขนาดนี้ก็เตรียมที่จะตั้งศาลเตี้ยแล้วอย่างนั้นหรือ?"
กล่าวไป ก็ได้ยืนหลังตรง เตรียมที่จะชกคนที่เข้ามาก่อนสักสองหมัด ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเข้ามาใต้เท้าถังที่เป็นผู้นำก็ได้คุกเข่าลงให้กับเฟิ่งชิงหัวทันที
“กระหม่อมมีตาหามีแววไม่ ขอพระชายาโปรดทรงอภัย” ใต้เท้าถังกล่าวไป และโขลกศีรษะลงไปกับพื้นที่แสนสกปรกโดยตรง เงยหน้าขึ้นมา ศีรษะเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ดูแล้วตลกขบขันยิ่งนัก
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้น สองมือกำหมด พิงอยู่บนเสา ยืนไขว้เท้า กล่าวด้วยท่าทางนักเลง: “ใต้เท้าถังทำอะไรของท่านน่ะ ท่านคารวะขนาดนี้ ข้าจะกล้ารับได้อย่างไร”
“ได้สิ ๆ พระชายามีสถานะสูงส่ง เป็นลูกสะใภ้ของราชวงศ์ ใช่คนธรรมดาเสียที่ไหนกัน อย่าว่าแต่คุกเข่าให้ท่านเลย แม้แต่หมวกแพรดำที่อยู่บนศีรษะของกระหม่อมจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่ก็ยังขึ้นอยู่กับพระชายา” ใต้เท้าถังกล่าวอย่างใจดีสู้เสือ
“หรือว่าใต้เท้าถังลืมไปแล้ว? ตอนที่เข้ามาใหม่ ๆ ท่านมิได้กล่าวเช่นนี้ อีกอย่าง ข้าเป็นเพียงสตรีที่สามีทิ้ง ท่านเรียกข้าว่าพระชายาเช่นนี้ คงไม่เหมาะกระมัง ถ้าหากให้ฝ่าบาทและท่านอ๋องเจ็ดทรงรู้เข้า ท่านคงต้องถูกสงสัยว่าสร้างความสับสนให้กับราชวงศ์เป็นแน่”
ใต้เท้าถังได้ยินเช่นนั้น เหงื่อก็ไหลเต็มใบหน้า ได้แต่ฝืนยิ้มกล่าว: “พระชายาช่างอารมณ์ขันเสียจริง อารมณ์ขันยิ่งนัก ฮ่า ๆ ท่านมีฝ่าบาทเป็นผู้พระราชทานสมรส และยิ่งเป็นคนสำคัญของท่านอ๋อง จะเป็นสตรีที่สามีทิ้งได้อย่างไร ที่กระหม่อมมาที่นี่ก็เพื่อรับพระชายาออกไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...