เฟิ่งชิงหัวรวบรวมคำพูดที่ชั่วร้ายและไม่น่าฟังต่าง ๆ นานาอยู่ในสมองของนางอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลืมตาโตขึ้นมาด้วยความหวาดผวา: “จ้านเป่ยเซียว ท่านคงจะไม่ กล้าจนถึงกับเขียนคำว่า “ไสหัวไป” หรอกนะ?”
เฟิ่งชิงหัวอดไม่ได้ที่จะนึกภาพเขาที่สะบัดมือ เขียนคำว่าไสหัวไปอย่างแข็งแรงและทรงพลัง พอขันทีที่มาประกาศราชโองการเห็นเข้าถึงกับเข่าอ่อนจนเกือบโยนพระราชโองการทิ้งไป
และจินตนาการว่าหลังจากที่เสด็จพ่อของเขาได้เห็นคำว่าไสหัวไปนี้จะมีท่าทางเช่นไร คงจะไม่กล่าวโทษทั้งหมดมาที่นาง ประทานแดงชาดหนึ่งจั้งนางหรอกนะ
จ้านเป่ยเซียวมุมปากกระตุก: “เจ้าสุภาพอ่อนหวานหน่อยได้หรือไม่?”
สุภาพอ่อนหวานมีอารยธรรมทั้งปากคอเราะราย และยังสามารถแสดงถึงการปฏิเสธได้ภายในคำเดียว ขอบเขตความรู้ขอเฟิ่งชิงหัวแคบเกินไป นางพยายามแล้วจริง ๆ
พยายามเฮือกสุดท้าย เลือกคำที่ใกล้เคียงกับคำว่าไม่ที่สุด: “คัดค้าน? ใช่คำนี้หรือไม่ ข้าคิดว่าคำนี้ยโสโอหังมาก เหมาะกับท่านดี”
จ้านเป่ยเซียวส่ายศีรษะ ครั้งนี้แม้แต่พูดยังคร้านที่จะพูด มีหน้ากากกั้นอยู่นางยังสัมผัสได้ถึงความรังเกียจของเขา
เฟิ่งชิงหัวหงุดหงิด จึงกล่าวขึ้นมาโดยปล่อยไปตามอารมณ์: “จ้านเป่ยเซียว ถ้าหากท่านกล้าเขียนคำว่า “ไม่” ลงไป ข้าจะทุบศีรษะของท่านให้ระเบิดเสีย!”
จ้านเป่ยเซียวมองนางด้วยความตกตะลึง: “คิดไม่ถึงว่า ในที่สุดเจ้าก็ฉลาดขึ้นมาสักครั้งแล้ว”
เฟิ่งชิงหัวได้ยินเช่นนั้น ก็ได้ดึงผ้าห่มให้เปิดออก กระชาก และคลุมลงไปบนตัวของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปคร่อมศีรษะของเขาเอาไว้เริ่มรัดคอของเขา หรือไม่ก็ทุบลงไปบนศีรษะของบุรุษหลายครั้ง
“ใครใช้ให้ท่านแกล้งสุขุมลุ่มลึก ใครใช้ให้ท่านแกล้งทำเป็นมีรสนิยม ยังมามีวัฒนธรรมสุภาพอ่อนโยน แค่คำคำเดียวก็ทำให้ท่านตัวลอยแล้วใช่ไหม!” เฟิ่งชิงหัวยิ่งตีก็ยิ่งโมโห นึกถึงตอนที่นางเปลืองสมองครุ่นคิดเมื่อสักครู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเซลล์สมองตายไปกี่เซลล์แล้ว คนผู้นี้กล่าวอยู่ครึ่งค่อนวันเขียนแค่นี้เองหรอกหรือ
หลังจากที่เฟิ่งชิงหัวระบายอารมณ์เสร็จถึงพบว่าคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มนั้นไม่ได้ขยับเลยสักนิด แม้แต่ตอบโต้ก็ยังไม่เคยเลยสักครั้ง
หรือว่าถูกนางทับจนสลบไปเสียแล้ว?
ขณะที่เฟิ่งชิงหัวกำลังสงสัยอยู่นั้น ก็สัมผัสได้ว่าคนที่อยู่ในผ้าห่มนั้นกำลังตัวสั่นอยู่
หรือว่าเมื่อครู่นางลงมือหนักจนเกินไป ตีจนเขาอัมพฤกษ์ไปเสียแล้ว?
คิดอยู่เช่นนี้ นางก็เปิดผ้าห่มออก ไม่เห็นคนที่กำลังตัวสั่นอยู่ กลับได้เห็นคนบางคนกำลังกลั้นยิ้มอยู่
ความเยือกเย็นในดวงตาของบุรุษได้หายไป ที่จ้องมองนางอยู่ในตอนนี้ สุกสกาวราวกับดวงดาว
ริมฝีปากบางสีชมพูอ่อนยิ้มกว้างขึ้นเรื่อย ๆ รอยยิ้มฉายชัดขึ้นบนใบหน้า เฟิ่งชิงหัวมองจนแทบลืมตัว แล้วเปลี่ยนเป็นสงสัย ยื่นมือออกไปดึงมุมปากของเขาลง: “ท่านปัญญาอ่อนหรืออย่างไร? โดนตียังจะยิ้มอีก?”
จ้านเป่ยเซียวตบมือของเฟิ่งชิงหัวลง รอยยิ้มเหือดหาย
เฟิ่งชิงหัวเบ้ปาก กำลังจะกลับไปบนเตียง กลับได้ถูกจ้านเป่ยเซียวดึงเข้าสู่อ้อมแขนทั้งสองข้าง กอดโดยที่มีผ้าห่มกั้นอยู่
“คนโง่ แค่หลอกเจ้าน่ะ” ในดวงตาของจ้านเป่ยเซียวเต็มไปด้วยความได้ใจ
“หลอกข้าอย่างนั้นหรือ? ท่านบอกว่าข้าเดาถูกแล้วมิใช่หรือ? เฟิ่งชิงหัวสงสัย และกล่าว: “ท่านบอกว่าท่านไม่เคยล้อเล่นเลยมิใช่หรือ?”
จ้านเป่ยเซียว: “หลอกเจ้ากลับล้อเล่นเป็นเรื่องเดียวกันหรือ?”
“น่าเบื่อ......” เฟิ่งชิงหัวเหลือบตามองบน: “ข้านึกว่าท่านยโสโอหังเช่นนั้นจริง ๆ เขียนค่ำว่าไม่ลงไปบนราชโองการโดยตรง ต่อให้เป็นพ่อลูกแท้ ๆ ก็คงไม่ไว้หน้ากระมัง”
จ้านเป่ยเซียวยิ้ม จับมือเฟิ่งชิงหัว จากนั้นก็เขียนลงไปบนฝ่ามือของนาง
เฟิ่งชิงหัวเพียงรู้สึกคันที่ฝ่ามือ ตอนที่ปลายนิ้วของบุรุษเลื่อนผ่านไป ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าบาง ๆ แล่นจากฝ่ามือของนางเข้าสู่เส้นเลือด ฝ่ามือค่อย ๆ แดงขึ้นมา
เฟิ่งชิงหัวเก็บมือกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว และเอาไปซ่อนไว้ที่ด้านหลัง: “คัน”
“ไม่อยากรู้แล้วหรือว่าข้าจะเขียนอะไร?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: พลิกชะตาหมอยา เฟิ่งชิงหัว
จะอัพเรื่องนี้ต่อไปมั้ยค่ะ😭...
เรื่องนี้หายไปนาน...