แสงพระอาทิตย์ยามเช้าแสนอบอุ่น แม่น้ำในคูเมืองส่องประกายระยิบระยับ บนสะพานชิงฉือ หนุ่มสาวยืนมองหน้ากัน
ฉินเฟยเงยหน้ามองจางหานหาน ก่อนจะพบว่าจางหานหานก็กำลังมองมาที่ตน เมื่อรับรู้ได้ถึงการกระทำของตนเอง จางหานหานก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลงและพูดว่า “ฉินเฟย เมื่อคืนวานฉันเพิ่งจะรู้จักชื่อของนาย มันคล้ายกับคนที่ฉันเคยรู้จักมาก่อน”
“งั้นหรือ ฉันก็บอกแล้วไง พวกเรามีโชคชะตาต่อกัน” ฉินเฟยหัวเราะฮิฮิ
แต่จางหานหานกลับส่ายหน้าเบา ๆ เงยหน้ามองฉินเฟยอย่างถี่ถ้วน “นายแน่ใจนะว่าไม่รู้จักฉัน ?”
“เอ๊ะ ?” ฉินเฟยแสร้งทำเป็นสับสน แต่ในใจกลับเกิดเสียงดัง ‘ตึกตัก’
ความเป็นจริงแล้ว ฉินเฟยไม่ได้มีความตั้งใจจะปิดบัง เพียงแค่รู้สึกว่าต่อให้ทั้งสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร อีกทั้ง ตัวตนของเขาตอนนี้จะเปิดโปงไม่ได้ ถ้าเธอรู้เข้าอาจจะเกิดความวุ่นวายโดยไม่จำเป็นขึ้น
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นบัตรใบนี้ของคุณฉันคงรับไว้ไม่ได้” จางหานหานเกิดรู้สึกผิดหวังขึ้นในแววตา หยิบบัตรธนาคารออกมาจากเอว เป็นบัตรที่ฉินเฟยเคยยัดเยียดให้เธอมาก่อนหน้านี้
ในวันที่สอง จางหานหานไปที่ธนาคาร หลังจากตรวจสอบยอดเงินคงเหลือก็ตกใจ เมื่อพบว่าในนั้นมีเงินอยู่สามแสน !
แม้ว่าเงินก้อนนี้สำหรับเธอในแต่ก่อนจะไม่ได้มากมายเท่าไหร่นัก แต่สำหรับเธอในตอนนี้มันเป็นเงินจำนวนมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย เธอไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับคุณแม่ และยิ่งไม่กล้าบอกน้องชายของเธอด้วย ก็เพราะกลัวว่าพวกเขาจะนำเงินออกมาใช้ด้วยความโลภ
เธอไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องได้รับค่าตอบแทนเหล่านี้ พวกเขาเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง พูดคุยกันแทบจะนับครั้งได้
แม้ว่าเธอจะไม่เหลือเงินจริง ๆ แต่ก็ไม่สามารถรับไว้ได้
เห็นจางหานหานใช้สองมือยื่นบัตรธนาคารให้เขาอย่างเคารพ ฉินเฟยก็ไม่ได้รับไว้ ได้แต่หัวเราะพลางส่ายหน้าออกมาว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าจะให้เธอสักหน่อย ฉันให้เธอยืมต่างหาก ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมนายถึงต้องให้ฉันยืมด้วย ?” จางหานหานถาม
ฉินเฟยถูกถามจนไม่รู้จะพูดยังไง จึงหัวเราะฮาฮาออกมาว่า “ไม่ใช่ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วหรือ ว่าพวกเราสองคนมีโชคชะตาต้องกัน โชคชะตาเป็นสิ่งที่เงินทองไม่สามารถซื้อได้ ยิ่งกว่านั้น รอเธอมีเงินเมื่อไหร่ ค่อยเอามาคืนฉันก็พอ”
“อ้อ ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไว้ค่อยมาดื่มชากันวันหลัง” ฉินเฟยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พูดออกมาอย่างรีบร้อน ก่อนจะหยิบกระเป๋าวิ่งออกไป
“นาย.......” จางหานหานกำลังจะเอ่ยปาก เห็นฉินเฟยที่วิ่งออกไปโบกมือไปมา ทำให้คำพูดของเธอได้แต่ติดอยู่ในลำคอ
ในใจฉินเฟยเองก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน เขาพูดไม่ออก ทำไมผู้หญิงสมัยนี้ถึงอยากรู้อยากเห็นขนาดนี้ มีคำถามอะไรจะต้องสาวไปจนถึงต้นถึงตอเลยหรือ ?
ฉินเฟยวิ่งมาจนถึงทางเลี้ยว เหลือบมองจางหานหานที่ยังคงยืนอยู่บนสะพาน มองตนมาจากที่ไกล ๆ แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ส่องลงมาบนตัวของเธอ ดูสวยงามราวกับม้วนภาพ
จางหานหานเอาแต่มองฉินเฟย มองจนกระทั่งไม่เห็นเงาของเขาอีกจึงละสายตากลับมาอย่างเงียบ ๆ เธอกัดริมฝีปากเบา ๆ และพูดว่า “ขอบคุณนะ.....”
ผ่านร้านน้ำชาวินเยว่ ฉินเฟยค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หยิบกระเป๋าขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่ารองเท้าหนังถูกขัดทำความสะอาดมา แถมยังมีกลิ่นผงซักฟอกแบบพิเศษอยู่ด้วย
ในสังคมทุกวันนี้ แต่ละครัวเรือนจะใช้น้ำยาซักผ้าเกรดดี ผงซักฟอกอาจจะทำให้มือบาดเจ็บจึงไม่ค่อยมีคนใช้ แต่กลิ่นนี้ ฉินเฟยกลับคุ้นเคยมันเป็นอย่างดี
“นังเด็กนี่.....” ฉินเฟยหยิบรองเท้าหนังออกมา ปากบ่นพึมพำหาร้านซาลาเปานึ่งนั่ง
หลังจากกินข้าวเช้า ฉินเฟยก็ซื้อซาลาเปาไส้เนื้อมาอีกสองลูกใส่เข้าไปในแขน จากนั้นก็ซื้อน้ำเต้าหู้อีกหนึ่งแก้ว จึงค่อยส่งข้อความทางวีแชทไปให้ชิงอี้เจีย เมื่อเห็นเธอไม่ตอบกลับก็ไม่สนใจ คิดว่ารออีกสักพักให้ถึงหน้าประตูบ้านก่อนค่อยโทรอีกครั้งก็ยังไม่สาย ให้สาวสวยได้หลับพักผ่อน ยิ่งมีเนื้อมีหนัง พอมองก็ยิ่งเจริญตาไม่ใช่หรือ ?
ฉินเฟยเดินมาถึงหมู่บ้านหมิงเจียหุ้ย มองเห็นเสิ่นเจียเหวินอยู่ใต้ตึก ขณะที่กำลังจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเสิ่นเจียเหวิน ทันใดนั้นเขาก็รับรู้ได้ถึงลมปราณอันตราย ร่างกายตื่นตระหนกขึ้นทันที เขาเงยหน้าขึ้น ภายในตึกที่ควรจะเงียบสงบ กลับมีเสียงฝีเท้าดัง ‘ตึกตัก’ ของชายหนุ่มสวมชุดสูทวิ่งออกมาหลายสิบคน
ราวกับว่า ตั้งแต่ที่ฉินเฟยเข้ามา เขาก็ถูกจับตามองไว้แล้ว จำนวนคนค่อย ๆ เพิ่มขึ้น กรูกันเข้ามาจากทุกทิศทุกทางล้อมรอบฉินเฟยเอาไว้ มองดูคร่าว ๆ น่าจะมีเกือบสามสิบคน สีหน้าเยือกเย็น จ้องมองเขาด้วยความโหดเหี้ยม
“เวรเอ้ย ฉันรู้อยู่แล้วว่าไอ้เด็กนี่กับเสิ่นเจียเหวินต้องมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง แกตาบอด ไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเอง คนอย่างแก กล้ามาไล่ตามผู้หญิงของฉันงั้นหรือ ?” คำพูดที่เต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางถูกคิดขึ้น
กลุ่มคนแยกตัวออก ร่างชายสวมชุดสูท หวีผมเงางามดุจสุนัขเลีย รูปร่างเหมือนสุนัขของหลิวโป๋ฮุ่ยเดินออกมาข้างหน้า
ราวกับว่าเขากำลังมองฉินเฟยอยู่ต่ำกว่า แววตาที่มองเต็มไปด้วยการดูถูกเหยียดหยาม มีแต่ความเย่อหยิ่ง ภายในแววตาที่มองฉินเฟยนอกจากการดูถูกแล้ว ที่มากกว่านั้นก็คือความเคียดแค้นและเกลียดชัง !
คุณชายสามแห่งตระกูลหลิวอันยิ่งใหญ่ กลับถูกลูกผู้หญิงสำส่อนที่ไหนไม่รู้มาต่อยได้ จะให้หลิวโป๋ฮุ่ยฝืนทนต่อไปได้ยังไง ?
ในสายตาของเขา ไม่มีใครปฏิเสธเขาได้ ! แต่เสิ่นเจียเหวินกลับปฏิเสธเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ว่าเขาจะโมโห แต่สิ่งที่ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจ เขาที่ใช้เงินเพื่อแก้ปัญหามาโดยตลอด ไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สำหรับเสิ่นเจียเหวิน แม้ว่าเธอจะมีหน้าตาที่ทั้งสวย ทั้งสดใหม่ แน่นอนว่าหลิวโป๋ฮุ่ยอยากได้เธอมาก แต่มันก็ไม่ถึงขนาดต้องได้มาให้ได้ เขาเพียงแค่ไม่อยากยอมรับความล้มเหลว โดยเฉพาะเรื่องหลับนอนกับผู้หญิง
แต่เมื่อคืนที่ผ่านมา ไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนตรงหน้ากลับต่อยหน้าเขา นี่ทำให้หลิวโป๋ฮุ่ยรู้สึกอัดอั้นไว้ด้วยความโกรธ และสาบานว่าจะต้องแก้แค้นคืนให้ได้
แต่หลิวโป๋ฮุ่ยนั้นฉลาด เขาเดาว่าเด็กคนนี้จะต้องกลัวเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ และเดาว่าคงไม่กล้าไปทำงานแล้ว ดังนั้น หลังจากพิจารณาจึงตัดสินใจมาหาเสิ่นเจียเหวินเพื่อดักรอเขา แม้ว่าเขาจะขวางฉินเฟยไม่ได้ แต่ยังสามารถขวางเสิ่นเจียเหวินได้เสมอ
หลิวโป๋ฮุ่ยไม่รู้จักฉินเฟย และไม่รู้ว่าเขาชื่อว่าอะไร กลับกัน เขาสามารถรู้ว่าไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนเมื่อคืนวานคนนั้นเป็นใครจากเสิ่นเจียเหวิน
ทีแรกเขายังโกรธและคิดว่า เมื่อคืนวานฉินเฟยจะไปได้กับเสิ่นเจียเหวินแล้วหรือไม่ คิดในใจว่า ถ้าหากทั้งสองคนเดินลงตึกไปด้วยกันล่ะก็ เขาจะทำให้แขนขาของไอ้ลูกผู้หญิงสำส่อนนี้พิการเสีย !
แต่เขาจะไม่รอจนทั้งสองคนเดินลงจากตึก และไม่ได้รอให้เสิ่นเจียเหวินลงมาเช่นกัน แต่จะรอให้ฉินเฟยมาหาเธอที่บ้านด้วยตนเอง และ.......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)