นางแพ้แล้ว......
นางแพ้แล้วจริงๆ ......
หลินเมิ่งหวันเดินหมากรุกเป็นได้อย่างไรกัน?
อีกอย่าง ทักษะการเดินหมากของหลินเมิ่งหวันจะโดดเด่นกว่านางได้อย่างไร?
สีหน้าของหนานมู่ชิงซีดเผือด เลือดในร่างกายของนางราวกับหยุดไหล นางมิอาจยอมรับผลการแข่งขันในครั้งนี้ได้
หลินเมิ่งหวันเหลือบมองไปทางนางเบาๆ “ขอบใจที่ออมมือให้ข้า”
เมื่อกล่าวจบ หลินเมิ่งหวันก็ลุกขึ้นยืน นางหันไปโค้งศีรษะให้แก่ผู้ชมทั้งหลาย
บริเวณที่นั่งชมจึงเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้น
“เป็นไปได้อย่างไรกันนี่?! หลินเมิ่งหวันชนะการแข่งขันหรือ?!”
“คุณหนูหนานมิใช่ยอดสตรีแห่งเมืองหลวงหรือ? เหตุใดทักษะการเดินหมากของนางจึงมิอาจสู้หลินเมิ่งหวันได้?!”
“หลินเมิ่งหวันคดโกงแน่แท้!”
“อย่ากล่าววาจาสามหาว! จะโกงได้อย่างไร? การเดินหมากทุกก้าว พวกเราล้วนเห็นกับตาตนเองอย่างชัดเจน มิมีผู้ใดคอยชี้นำหลินเมิ่งหวันให้เดินหมาก หลินเมิ่งหวันนางใช้ความสามารถของตนในการเอาชนะครั้งนี้......”
“เช่นนั้นหลินเมิ่งหวันก่อนหน้า นางเก็บซ่อมความสามารถอันแท้จริงของตนไว้หรือ?”
……
ผู้คนต่างพากันกระซิบกระซาบด้วยความเหลือเชื่อ
หนานมู่ชิงรู้สึกว่าแต่ละคำที่พวกเขากล่าวออกมานั้นดั่งมีดกรีดแทงดวงใจ บาดลึกเข้าไปในใจของนาง
นางมิรู้ตัวด้วยซ้ำว่านางก้าวลงไปจากเวทีนี้อย่างไร แต่เมื่อเดินมาถึงด้านล่างเวที ภาพตรงหน้าของนางก็มืดลง ร่างนั้นล้มลงสู่พื้น
“คุณหนูเจ้าคะ!” สาวรับใช้ของหนานมู่ชิงอุทานขึ้นด้วยความตกใจ จากนั้นเร่งฝีเท้าเข้าไปพยุงหนานมู่ชิงเอาไว้
หลินเมิ่งหวันเหลือบตามองดูหนานมู่ชิง จากนั้นนางจึงหันหลังเดินจากไป
มองดูจากสีหน้าของหนานมู่ชิงแล้ว คาดว่าคงเป็นเพราะอารมณ์ที่แปรปรวนทำให้เป็นลมหมดสติไป หลินเมิ่งหวันเพียงแค่ฝังเข็มให้นาง หนานมู่ชิงก็ฟื้นขึ้นมาได้โดยง่าย
แต่หลินเมิ่งหวันคิดเห็นว่า ในเวลานี้ทางที่ดีอย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มิเช่นนั้นอาจหาเรื่องมาใส่ตัวได้
หากหนานมู่ชิงมิยินยอมรับความพ่ายแพ้ ทั้งยังมากล่าวโทษนาง ว่าเป็นเพราะวางยาให้หนานมู่ชิงพ่ายแพ้การแข่งขันละก็ คงจะน่ารำคาญยิ่ง
หลินเมิ่งหวันกลับมายังห้องพักผ่อนของตน พี่ๆ ทั้งหลายได้เดินตรงเข้ามารับนาง
ฉินจิ้งเจากล่าวด้วยท่าทีอันชื่นชมว่า “น้องเมิ่งหวัน เจ้าเก่งกาจยิ่งนัก เจ้าเรียนรู้วิธีเดินหมากได้เพียง 10 วันก็สามารถเอาชนะหนานมู่ชิงได้อย่างราบคาบ! หนานมู่ชิงนั้นมีทักษะการเดินหมากที่เก่งกาจ แม้แต่พี่สามของเจ้ายังเอ่ยชม บัดนี้เจ้าเอาชนะนางได้ ผู้ชนะในการแข่งขันหมากรุกครั้งนี้คงเป็นเจ้าอย่างแน่แท้!”
หลินเมิ่งหวันยิ้มแล้วพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ขอบใจพี่ใหญ่เป็นยิ่งนักที่สอนตำราการเดินหมากแก่ข้า ครานี้ข้าไร้ความกังวลใจแล้ว”
“ข้าคิดว่ายังเร็วเกินไปที่เจ้าจะวางใจ”
ฉินฉางซูยิ้มแล้วเอ่ยปากขึ้น เป็นการสาดน้ำเย็นใส่หลินเมิ่งหวัน
หลินเมิ่งหวันชะงักลง ฉินจิ้งเจาเองก็เช่นกัน
ฉินฉางซูหยิบหนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกมาไว้ตรงหน้าหลินเมิ่งหวัน “จงรีบท่องตำราหมากรุกนี้เถิด ตำราก่อนหน้านี้ที่เจ้าท่องจำ คาดว่าคุณหนูเฉียวเองก็คงสามารถแก้ได้ทั้งสิ้น”
เมื่อครู่ตอนที่แข่งขันกับหนานมู่ชิง ฉินฉางซูเองก็ได้สังเกตทักษะของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ด้วย
จากที่เขาดู ก็ได้พบกับ “ม้ามืด” คนหนึ่ง
เฉียวยี่ถง ทายาทสายตรงของตระกูลเฉียว ก่อนหน้านี้นางมิเคยทำตัวโดดเด่น ทว่าจากเมื่อครู่ที่นางแสดงฝีมือ พบว่าทักษะการเดินหมากของนางเก่งกาจกว่าหนานมู่ชิงเสียด้วยซ้ำ!
หลินเมิ่งหวันตกตะลึงยิ่งนัก จู่ๆ นางก็นึกถึงเรื่องราวในชาติที่แล้ว ซึ่งหนานมู่ชิงและเฉียวยี่ถงเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศขึ้นมาได้
สีหน้าของหลินเมิ่งหวันเปลี่ยนไปทันที ฉินจิ้งเจารีบคว้าตำราเดินหมากมาใส่ลงไปในมือของหลินเมิ่งหวัน “น้องเมิ่งหวัน เจ้าจงรีบไปท่องเร็ว!”
หลินเมิ่งหวันมิกล้ารอรี นางรีบนั่งลงแล้วท่องจำ
การแข่งเดินหมากมิได้น่าตื่นเต้นเท่าไร มิมีสิ่งใดน่าดู ใช้เวลาเพียงเล็กน้อย
หลินเมิ่งหวันได้ทำการแข่งขันอีกสองสนาม ในที่สุด หลังเวลาอาหารกลางวันแล้ว การแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศก็มาถึง
เป็นไปตามที่ฉินฉางซูกล่าวไว้ คู่ต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าหลินเมิ่งหวัน ก็คือเฉียวยี่ถง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก