เฝ่ยชุ่ยกล่าวเบาๆ “คุณหนูรอง คนจากจวนสวีเข้ามาในจวนแล้ว กำลังคุยกับฮูหยินใหญ่อยู่ที่สวนสน ใต้เท้าก็กลับมาที่จวนแล้วเจ้าค่ะ”
หลินเมิ่งหวันหลับตาลงเล็กน้อย พยักหน้าและสั่งให้เฝ่ยชุ่ยแต่งตัวให้นาง เป็นการเลือกอันชาญฉลาดที่ไม่ไปที่สวนสน
ตอนนี้ผู้ใหญ่ของทั้งสองจวนกำลังพูดคุยกัน หลินเมิ่งหวันในฐานะคนรุ่นหลัง แน่นอนว่าไม่ไปจะดีกว่า
เพียงแต่หลินเมิ่งหวันกังวลเกี่ยวกับร่างกายของหลินฮูหยินใหญ่ จึงแต่งตัวไว้ล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ฉับพลัน
จนกระทั่งพลบค่ำ คนของจวนจางก็จากไป
และก่อนที่คนของจวนจางจะจากไป รถม้าก็ตามออกไปจากจวน
คนที่อยู่บนรถม้าคือสวีซื่อกับหลินซิงโหรวที่ถูกมัดมือไพล่หลังและปิดปากไว้
จวนหลินประกาศต่อสาธารณชนว่าสวีซื่อล้มป่วยอย่างกะทันหัน จึงต้องไปพักฟื้นที่หมู่บ้านในชานเมือง หลินซิงโหรวกังวลเรื่องสุขภาพของสวีซื่อ ดังนั้นจึงติดตามสวีซื่อไปด้วยตนเอง
เมื่อหลินเมิ่งหวันได้ฟังเรื่องที่เจินจูรายงาน ก็จ้องมองไปที่แสงเทียนระยิบระยับและกล่าวว่า “ข้ออ้างนี้ช่วยรักษาหน้าตาของจวนหลิน และยังทำให้หลินซิงโหรวมีชื่อเสียงที่ดีด้วย”
เฝ่ยชุ่ยกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าเป็นผลมาจากการปรึกษาหารือของฮูหยินใหญ่ กับคนของจวนจาง เรื่องเมื่อคืน......"
หลินเมิ่งหวันมองไปที่เฝ่ยชุ่ย และเม้มมฝีปากเล็กน้อย “แน่นอนว่าคนของจวนจางต้องปกป้องป้าสะใภ้รองและหลินซิงโหรว และท่านย่าก็ไม่สามารถละทิ้งหลินซิงโหรวได้ ยิ่งไปกว่านั้นท่านลุงรองของข้าก็ไม่น่าไว้ใจจริงๆ หากเรื่องนี้ยุ่งวุ่นวาย แม้ว่าจวนหลินจะเป็นผู้เคราะห์ร้าย ก็เป็นการทำลายหน้าตาของจวนหลิน ดังนั้นแน่นอนว่าท่านย่าต้องเห็นแก่หน้าจวนจาง”
“การจัดการในตอนนี้เป็นผลลัพธ์ที่ค่อนข้างดี หวังว่าหลังจากที่หลินซิงโหรวกลับมาแล้ว จะสำนึกผิด”
ฉินลั่วเฟิงบอกหลินเมิ่งหวันว่าหลินย่าหังกินยาเสน่ห์มากเกินไป จนเกิดขีดจำกัดของร่างกาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะมีบุตรอีก และผู้หญิงที่ใช้มากเกินไปก็เป็นเช่นเดียวกัน
จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมสวีซื่อกับหลินย่าหังถึง “รักกันลึกซึ้ง” มาหลายปี แต่ไม่สามารถมีทายาทได้อีก
เรื่องที่สวีซื่อทำนั้น เกรงว่าหลินฮูหยินใหญ่กับหลินย่าหังยากที่จะให้อภัยนาง และเป็นการยากที่นางอยากจะกลับมาที่จวน
อย่างไรก็ตาม หลินซิงโหรวเป็นคุณหนูที่เป็นลูกภรรยาเอกของจวนหลิน การให้นางไปอยู่ในหมู่บ้านชานเมืองถือเป็นการลงโทษ และยังต้องกลับไปมาที่จวนเพื่อคุยเรื่องแต่งงานกัน
“คุณหนูรอง บ่าวเกรงว่าพวกนางจะเจ็บแค้นท่าน” เฝ่ยชุ่ยแสดงความกังวลในใจ และมองหลินเมิ่งหวันอย่างไม่สบายใจ
“เจ็บแค้นก็เจ็บแค้นสิ ข้าไม่กลัวนาง” หลินเมิ่งหวันพูดอย่างเฉยเมย ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ข้าจะไปหาท่านย่า”
หลังจากเรื่องวุ่นวายดังกล่าว คนที่เสียใจที่สุดคือหลินฮูหยินใหญ่
นางอายุมากแล้ว หลินเมิ่งหวันไม่วางใจ
ดึกมากแล้ว แสงไฟในสวนสนยังคงสว่าง หลินฮูหยินใหญ่นั่งพิงหัวเตียงในชุดนอน ใบหน้าเหลืองเหมือนเทียนไข และกลัดกลุ้มไม่หาย
“ท่านย่า ข้านำขนมมาให้ท่าน ท่านยังไม่นอนใช่หรือไม่?”
เสียงที่ดีใจของหลินเมิ่งหวันดังเข้ามาในหู หลินฮูหยินใหญ่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งและมองไปที่ประตู
เมื่อเห็นหลินเมิ่งหวัน แม่นมหลี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก้าวไปข้างหน้าและกล่าวในทันที “คุณหนูเมิ่งหวันมาได้จังหวะพอดี วันนี้ฮูหยินใหญ่ยังไม่ได้กินอะไรเลย ท่านรีบมาโน้มน้าวเถอะเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าก็ทำขนมมาได้ถูกเวลาเลย” หลินเมิ่งหวันพูดด้วยรอยยิ้ม ยกกระโปรงขึ้นและนั่งลงข้างเตียง
นางจับแขนของหลินฮูหยินใหญ่และพูดออดอ้อน “ท่านย่า ข้าทำขนมให้ท่านด้วยตนเอง และให้เฝ่ยชุ่ยสอนข้าทำขนมโดยเฉพาะ ท่านต้องลองชิมเพื่อเป็นเกียรติแก่ข้านะเจ้าคะ”
แสงเทียนส่องสะท้อน บนใบหน้าของหลินฮูหยินใหญ่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ในเวลาเพียงแค่วันเดียว หลินฮูหยินใหญ่ดูเหมือนจะแก่ลงไปสิบปี
หลินเมิ่งหวันอดไม่ได้ที่จะเสียใจกับการกระทำของตนเองในวันนี้ “ท่านย่า วันนี้เมิ่งหวันไม่ควรพาพี่ซิงโหรวมาที่นี่เลย เมิ่งหวันทำให้ท่านโกรธแล้ว”
คราวหน้าหากเจอเรื่องเช่นนี้อีก หลินเมิ่งหวันคิดว่าตนเองควรจะเปลี่ยนวิธีการจัดการ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ภพนี้ตราบภิรมย์รัก